คำพิพากษาฎีกาที่ 7797 – 7807 -53
เลิกจ้างเนื่องจากปรับโครงสร้างการทำงาน ลดจำนวนพนักงาน เพื่อให้ได้ผลกำไรเพิ่มขึ้นมิใช่เหตุขาดทุน เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งสิบเอ็ดสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสิบเอ็ดสำนวนนี้ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 11 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำ โดยโจทก์ที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 11 เข้าเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2545 โจทก์ที่ 2 เข้าเป็นลูกจ้างเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 และโจทก์ที่ 9 เข้าเป็นลูกจ้างเมื่อวัน ที่ 21เมษายน 2546 ตำแหน่งสุดท้ายโจทก์ที่ 1 เป็นผู้อำนวยการฝ่ายซื้อโฆษณามีหน้าที่ดูแลควบคุมกำกับการวางแผนงานโฆษณา และกำกับการซื้อสื่อโฆษณาค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 140,400 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายธุรการ – บุคคล มีหน้าที่ดูแลสถานที่สำนักงาน พนักงานและสวัสดิการพนักงานค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 42,300 บาท โจทก์ที่ 3 มีหน้าที่บริหารจัดการระบบเทคโนโลยี ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 37,000 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเจ้าหน้าที่ซื้อสื่อโฆษณา มีหน้าที่ติดต่อซื้อสื่อโฆษณาและควบคุมการติดตั้งป้ายโฆษณา ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 42,300 บาท โจทก์ที่ 5 เป็นเลขานุการฝ่าบริหาร มีหน้าที่ดูแลงานแผนกครีเอทีฟ ประสานงานลูกค้า นัดหมายการประชุมของผู้บริหารค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 36,685 บาท โจทก์ที่ 6 เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลมีหน้าที่จัดทำสัญญาจ้างและสวัสดิการของพนักงาน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 23,760 บาท โจทก์ที่ 7 เป็นผู้จัดการฝ่ายการผลิต ดูแลรับผิดชอบด้านการผลิตค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 58,000 บาท โจทก์ที่ 8 เป็นเจ้าหน้าที่จัดซื้อสื่อโฆษณา มีหน้าที่ติดต่อซื้อสื่อโฆษณาและควบคุมการติดตั้งป้ายโฆษณา ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 45,360 บาท โจทก์ที่ 9 เป็นผู้จัดการฝ่ายศิลป์ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 67,000 บาท โจทก์ที่ 10 เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนและกิจกรรมทางการตลาด มีหน้าที่สร้างสรรค์งาน ควบคุมการผลิตและประสานงานกับลูกค้า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 69,200 บาท และโจทก์ที่ 11 เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อโฆษณา มีหน้าที่กำกับดูแลค่าใช้จ่ายของการซื้อสื่อโฆษณา ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 29,500 บาท เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2541 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด ให้มีผลเลิกจ้างนับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2541 โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีอัตราค่าจ้างสูง และเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่มีความผิด และมิดิบอกกล่าวให้โจทก์สิบเอ็ดทราบล่วงหน้า การเลิกจ้างดังกล่าวไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดเสียหาย ขอคิดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดคนละ 5,000,000 บาท โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่สงค์กลับเข้าทำงานกับจำเลยอีกต่อไปขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดคนละ 5,000,000 บาท
จำเลยทุกสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยไม่ได้ทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่มีกำหนดเวลาจ้างที่แน่นอน จำเลยเลิกจ้างจ้างโดยมีเหตุอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม คำฟ้องโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นเท็จ จำเลยประกอบกิจการให้บริการเป็นตัวแทนโฆษณา ช่วงกลางปี 2550 ถึงกลางปี 2551 เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ลูกค้าของจำเลย 4 ราย ลดปริมาณใช้บริการของจำเลย ทำให้งานและรายได้ลดลง จำเลยไม่มีงานให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดทำ ประกอบกับในช่วงเดือนกรกฎาคม 2541 นายธนกร บุญยั่งยืน ประธานฝ่ายปฏิบัติการและนายรัฐรงค์ ศรีเลิศ ประธานฝ่ายสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นผู้บริหารและผู้ถือหุ้นเดิมลาออกและขายหุ้นไป จำเลยจึงต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างโดยเปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยนโครงสร้างองค์กร และเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจใหม่ให้เหมาะสมแก่การบริหารงานและสภาวะเศรษฐกิจ โดยมีการยุบรวมแผนก จึงมีความจำเป็นต้องเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด เพราะไม่มีงานให้โจทก์ที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 11 เนื่องจากโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และที่ 7 ถึงที่ 11 มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับลูกค้ารายที่ลดปริมาณใช้บริการของจำเลย และโจทก์ที่ 5 เป็นเลขานุการของนายธนกรและนายรัฐรงค์ผู้บริหารที่ลาออกไป ส่วนโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 6 ทำงานไม่ดี ผิดพลาดไม่ดำเนินการภายในกำหนด ขาดงาน มาทำงานสายจำเลยจ่ายเงินค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนให้แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว และโจทก์ทั้งสิบเอ็ดยังได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนเงินสะสมและผลประโยชน์สะสมตามเงื่อนไขแล้ว โจทก์ทั้งสิบเอ็ดจึงไม่ได้รับความเสียหาย และฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยจ่ายให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 842,400 บาท โจทก์ที่ 2 169,200 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 222,000 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 253,800 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 222,110 บาท โจทก์ที่ 6 จำนวน 142,560 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 348,000 บาท โจทก์ที่ 8 จำนวน 272,160 บาท โจทก์ที่ 9 จำนวน 335,000 บาท โจทก์ที่ 10 จำนวน 415,200 บาท และโจทก์ที่ 11 จำนวน 177,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยประกอบกิจการเป็นตัวแทนโฆษณา จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีตำแหน่งหน้าที่อัตราเงินเดือนและมีระยะเวลาการทำงานตามฟ้อง เหตุที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเนื่องจากจำเลยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างแบบเก่ามาใช้แบบใหม่ โดยมีสาเหตุมาจากกิจการของจำเลยไม่คงที่เหมือนเดิม คือลูกค้าจำเลยได้ว่าจ้างจำเลยลดลง 4 ราย งานและรายได้น้อยลง กรรมการบริหาร 2 คน ของจำเลยลาออก จำเลยกำไรน้อยลง แต่ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกำไรน้อยลงจำนวนมากและไม่มีงานให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดทำ คงฟังได้ว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของจำเลยดังกล่าว จำเลยกำไรน้อยลงเพียงเล็กน้อยและเพื่อผลประโยชน์ของจำเลยที่จะให้ได้กำไรเหมือนเดิมจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด ถือไม่ได้ว่ามีเหตุสมควรที่จะเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เมื่อคำนึงถึงอายุ ระยะเวลาการทำงาน ความเดือดร้อนของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเมื่อถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้รับแล้ว จึงกำหนดให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้รับค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่าคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่งหรือไม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวบัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานให้ทำเป็นหนังสือและต้องกล่าวหรือแสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุป และคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีพร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น” แต่คำพิพากษาศาลแรงงานกลางไม่แสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและเป็นการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีขัดแย้งกับเอกสารนั้น เห็นว่า คำพิพากษาศาลแรงงานกลางได้กล่าวและแสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปไว้แล้วว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่าเหตุผลที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด เนื่องจากจำเลยมีการปรับปรุงโครงสร้างตามเหตุผลที่ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้าง เอกสารหมาย ล.3 โดยมีสาเหตุมาจากลูกค้าของจำเลยลดลงรวม 4 ราย งานน้อยลง และกรรมการบริหาร 2 คน ของจำเลยลาออก จำเลยไม่ได้กำไรเท่าที่เป็นอยู่เดิม และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีว่า แต่การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดยังถือไม่ได้ว่ามีเหตุสมควร จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยระบุเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้นว่า จำเลยมิได้นำสืบให้ชัดแจ้งในเรื่องกำไรน้อยลงว่ามีเพียงใด และมิได้นำสืบให้ชัดแจ้งถึงเรื่องที่ไม่มีงานให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดทำทั้งที่จำเลยยังมีลูกค้าอยู่อีก 30 ราย และที่จำเลยอ้างว่าถ้ายังไม่เลิกจ้างอีกก็จะเป็นการขาดทุนนั้น จำเลยเพียงแต่กล่าวอ้างขึ้นลอยๆ จึงไม่น้ำหนักรับฟังว่าจำเลยกำไรน้อยลงจำนวนมากและไม่มีมีงานให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดทำ จึงฟังไม่ได้ว่าหากจำเลยไม่เลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดจะเป็นเหตุให้จำเลยขาดทุน คงฟังได้ว่าในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างนั้น จำเลยกำไรน้อยลงเพียงเล็กน้อยและเพื่อผลประโยชน์ของจำเลยที่จะให้ได้กำไรเหมือนเดิมเท่านั้น คำพิพากษาศาลแรงงานกลางดังกล่าวจึงเป็นคำพิพากษาที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเนื่องจากจำเลยถูกปรับลดปริมาณงานจากลูกค้า มีการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อให้เหมาะสมกับการทำธุรกิจได้ต่อไปในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จนเป็นสาเหตุไม่มีงานให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดทำ จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และศาลแรงงานกลางกำหนดจำนวนเงินให้จำเลยจ่ายแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดในอัตราที่สูงเกินเหมาะสม ไม่มีหลักเกณฑ์ใดอ้างอิง ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทั้งไม่มีการนำเอาจำนวนเงินที่จำเลยเคยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดตามกฎหมายมาพิเคราะห์ประกอบเข้าด้วยกันนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเนื่องจากจำเลยปรับเปลี่ยนโครงสร้างแต่ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของจำเลยนั้น จำเลยกำไรน้อยลงเพียงเล็กน้อย และเพื่อผลประโยชน์ของจำเลยที่จะให้ได้กำไรเหมือนเดิม ยังถือไม่ได้ว่ามีเหตุผลสมควราที่จะเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดจึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและศาลแรงงานกลางกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดโดยคำนึงถึงอายุ ระยะเวลาการทำงาน ความเดือดร้อนของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเมื่อถูกเลิกจ้างมูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและค่าชดเชยที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีสิทธิได้รับ ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน