คำพิพากษาฎีกาที่ 5006 – 5102 -53
ค่าเที่ยว จ่ายแน่นอนคำนวณตามระยะทางโดยมิได้ระบุว่าเป็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ ถือเป็นค่าจ้าง
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนนี้เดิมศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณากับคดีอีกสามสิบห้าสำนวน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยสามสิบสองว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 132 ตามลำดับ และเรียกจำเลยทั้งหนึ่งร้อยสามสิบสองสำนวนว่าจำเลย แต่คดีสำหรับโจทก์ที่ 5 ที่ 9 ที่ 11 ที่ 22 ที่ 25 ที่ 27 ที่ 41 ที่ 44 ที่ 45 ที่ 47 ที่ 64 ถึงที่ 66 ที่ 73 ที่ 77 ที่ 79 ที่ 81 ที่ 86 ที่ 90 ที่ 91 ที่ 93 ที่ 99 ที่ 102 ถึงที่ 105 ที่ 108 ที่ 114 ที่ 122 ที่ 125 ถึงที่ 127 ที่ 130 ถึงที่ 132 ยุติไปแล้วตามคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องของศาลแรงงานกลางคงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีเก้าสิบเจ็ดสำนวนนี้
โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า โจทก์แต่ละคนเข้าทำงานกับจำเลย ในตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุกเพื่อขนส่งรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุไปมอบให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ โดยโจทก์แต่ละคนได้รับค่าจ้างของปี 2546 2547 และ 2548 เป็นไปตามคำฟ้อง ระหว่างเวลาทำงานทั้งสามปีดังกล่าว จำเลยให้โจทก์ทั้งหมดทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณีกับให้โจทก์ทั้งหมดทำงานล่วงเวลาในวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณีและในวันทำงานปกติ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2546 ถึง 31 ธันวาคม 2546 จึงต้องจ่ายค่าจ้างในวันหยุด 2 วัน ค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด 2 วัน ในวันทำงานปกติ 2 วัน ในปี 2547 ค้างชำระค่าจ้างในวันหยุด 55 วัน วันละ 8 ชั่วโมง ค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด 55 วัน วันละ 4 ชั่วโมง และในวันทำงานตามปกติ 305 วัน 4 ชั่วโมง และในวันทำงานตามปกติ 305 วัน 4 ชั่วโมง ในปี 2548 ค้างชำระค่าจ้างในวันหยุด 55 วัน วันละ 8 ชั่วโมง ค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาในวันหยุดวันละ 4 ชั่วโมง และในวันทำงานปกติ 301 วัน วันละ 4 ชั่วโมง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินตามฟ้อง
จำเลยทุกสำนวนให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนมิได้บรรยายว่า เวลาทำงานปกติเริ่มเวลาใด เลิกเวลาใด หยุดพักเวลาใด รวมเป็นระยะเวลากี่ชั่วโมงต่อวัน จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม เงินที่จำเลยจ่ายให้นั้นเป็นการตอบแทนการทำงานลักษณะเหมาจ่ายโดยรวมค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดไปด้วยแล้ว เพราะลักษณะงานของโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนมีกำหนดระยะทำงานเริ่มต้นและสิ้นสุดไม่แน่นอน จึงได้ตกลงกันที่จะไม่นำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในส่วนของการทำงานล่วงเวลาและการทำงานในวันหยุดมาใช้ โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนก็ได้รับเงินไปมากกว่าอัตราตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดไว้ โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนอ้างอัตราค่าจ้างรายเดือนสูงเกินจริงเรียกร้องเงินตามฟ้องมาเกินกว่าเวลาที่ทำงานจริง และมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวน
โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
โจทก์ฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนว่า เงินค่าเที่ยวเป็นค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติหรือไม่ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนทำงานกับจำเลยในตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุกเพื่อนำรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุไปส่งให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ การทำงานในแต่ละวันจะมีเวลาทำงานไม่แน่นอนส่วนใหญ่จะเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด และต้องทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณีด้วย วันเวลาเข้าทำงานและอัตราค่าจ้างสุดท้ายของโจทก์แต่ละคนเป็นไปตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 ในการขับรถไปส่งให้แก่ลูกค้าจำเลยจ่ายค่าเที่ยวให้โจทก์แต่ละคนตามเอกสารหมาย ล.1 หากโจทก์แต่ละคนทำงานในวันหยุดจำเลยจะจ่ายเงินพิเศษให้อีกคนละ 100 บาท แล้ววินิจฉัยว่าไม่ปรากฏว่าเงินค่าเที่ยวที่จำเลยจ่ายให้ขึ้นอยู่กับระยะทางหรือจำนวนน้ำมันที่ใช้ไปหรือตามจำนวนเวลาที่โจทก์แต่ละคนได้ใช้ไป แต่เป็นการจ่ายในอัตราที่แน่นอนตายตัว เงินค่าเที่ยวจึงถือเป็นค่าตอบแทนในการทำงานของโจทก์แต่ละคนและเป็นค่าจ้างนอกเหนือจากเงินเดือนประจำที่โจทก์แต่ละคนได้รับอยู่แล้วเมื่อนำเงินค่าเที่ยวตามเอกสารหมาย ล.1 มาคำนวณเป็นค่าล่วงเวลาจากฐานเงินเดือนตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 แล้ว โจทก์แต่ละคนยังได้รับเงินค่าเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นค่าจ้างหรือค่าล่วงเวลาโดยปริยายเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ได้นิยามคำว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับและไม่ได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติแล้วว่างานที่โจทก์ทั้งหมดต้องปฏิบัติคือ การขับรถยนต์บรรทุกเพื่อนำรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุไปส่งให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและค่าเที่ยวในอัตราที่แน่นอนและหากทำงานวันหยุดจำเลยจะจ่ายพิเศษให้อีกคนละ 100 บาท จำเลยกำหนดอัตราค่าเที่ยวไว้เป็นจำนวนแน่นอนสามารถคำนวณได้ตามระยะทางและจำนวนเที่ยวที่โจทก์แต่ละคนทำได้ ซึ่งได้มีการปรับอัตราค่าตอบแทนมาโดยตลอด จนกระทั่งปี 2549 ได้ใช้อัตราค่าตอบแทนการทำงานหรือค่าเที่ยวตามหนังสือเวียน ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2548 เอกสารหมาย ล.1 โดยกำหนดระยะทางไว้เป็นกิโลเมตรเวลาการเดินทางเป็นชั่วโมง และอัตราค่าเที่ยว เช่น ลำดับที่ 1 นครปฐม, สมุทรสาคร ระยะทางไปกลับ 230 กิโลเมตร เวลาการเดินทาง 4 ชั่วโมง อัตราค่าตอบแทนการทำงานอัตราเดิม 220 บาท เพิ่มขึ้น 11 บาท อัตราใหม่ 230 บาท ลำดับที่ 6 ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางไปกลับ 690 กิโลเมตร เวลาการเดินทาง 62 ชั่วโมง อัตราค่าตอบแทนการทำงานอัตราเดิม 345 บาท เพิ่มขึ้น 17.25 บาท อัตราใหม่ 360 บาท การกำหนออัตราค่าตอบแทนการทำงานหรือค่าเที่ยวดังกล่าวแม้ระบุเวลาการเดินทางไว้ แต่ก็มิได้ระบุว่าเป็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ เพราะระยะทางเวลาการเดินทางไปส่งสินค้าในจังหวัดภาคกลางส่วนใหญ่จะไม่เกิน 8 ชั่วโมง แต่พนักงานก็ยังได้รับค่าเที่ยวกับการเดินทางไปส่งสินค้าในจังหวัดภาคอื่นๆ ที่มีระยะเวลาการเดินทางไปส่งสินค้าเกิน 8 ชั่วโมง ดังนั้นการจ่ายค่าตอบแทนหรือค่าเที่ยว ตามเอกสารหมาย ล.1 จึงเป็นการจ่ายโดยมีลักษณะเป็นการตอบแทนการเดินทางไปปฏิบัติงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานถือเป็นค่าจ้างตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา 5 ดังกล่าว อย่างไรก็ตามศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จต่อไปว่าเงินค่าเที่ยวดังกล่าวมีทั้งส่วนที่เป็นค่าจ้างและค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดแม้โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนเป็นลูกจ้างทำงานเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยรถยนต์บรรทุกอันเป็นพาหนะขนส่งทางบก ซึ่งเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์อันเป็นงานขนส่งทางบกจะไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาและค่าล่วงเวลาในวันหยุดในชั่วโมงที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 65 (8) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 แต่หากจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างให้โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนซึ่งเป็นลูกจ้างทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานและทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันหยุด จำเลยจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำให้แก่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนด้วยตามกฎกระทรวงดังกล่าว ข้อ 6 โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนจึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานและในวันหยุดที่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนทำงานเกินจากวันละ 8 ชั่วโมง โดยถือเกณฑ์คำนวณค่าจ้างเฉลี่ยเงินค่าเที่ยวที่ตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานรวมกับเงินเดือนได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละหรือชั่วโมงละเท่าใด แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ยเป็นรายชั่วโมงนั้นมาคำนวณค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานและในวันหยุด ส่วนค่าทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยจะจ่ายเงินพิเศษให้โจทก์ซึ่งทำงานในวันหยุดอีกคนละ 100 บาท เงิน 100 บาท ดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการขับรถในส่วนที่ไม่ใช่เวลาทำงานปกติ แต่มีลักษณะเป็นการตอบแทนการเดินทางไปปฏิบัติงานในวันหยุด จึงต้องถือเกณฑ์คำนวณค่าทำงานในวันหยุดโดยเฉลี่ยค่าเที่ยวรวมกับเงินเดือนได้ค่าจ้างเฉลี่ยต่อวันแล้วหากโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดเพิ่มจากค่าจ้างเฉลี่ยต่อวันเกินจากหนึ่งร้อยบาทเท่าใด จำเลยจะต้องจ่ายเพิ่มให้ตามจำนวนนั้น พร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนไม่เกินคำขอของโจทก์แต่ละคน
อนึ่ง ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเที่ยวของโจทก์แต่ละคนเพียงพอที่ศาลฎีกาจะพิพากษาถึงจำนวนเงินค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติและค่าจ้างในวันหยุดให้โจทก์แต่ละคนได้ และยังปรากฏตามคำเบิกความของนายสามารถ พูนแก้ว ผู้แทนโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ถึง 132 ว่าการฟ้องเรียกค่าทำงานในวันหยุดของโจทก์แต่ละคนในปี 2547 และ 2548 นั้นเป็นการเฉลี่ยจากที่โจทก์บางคนลาหยุด บางคนไม่ได้ลาหยุดและไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงได้กำหนดวันหยุดที่จะฟ้องเรียกค่าทำงานในวันหยุดคนละ 55 วัน ต่อหนึ่งปี และคิดค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติคนละ 4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งไม่แน่นอนว่าโจทก์แต่ละคนจะได้ทำงานตามนั้นหรือไม่ เพราะตามที่นายกิตติ ต่ายทอง โจทก์ที่ 1 เบิกความว่าปกติโจทก์ที่ 1 จะขับรถส่งรถให้ลูกค้าอยู่ภายในกรุงเทพมหานครนานๆ ครั้งเมื่อมีงานมากจึงจะออกไปช่วยส่งต่างจังหวัด ดังนี้การขับรถอยู่ภายในกรุงเทพมหานครก็ไม่แน่นอนว่าจะเกินกว่าการทำงานวันละ 8 ชั่วโมงหรือไม่ จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์แต่ละคนว่า ค่าเที่ยวส่วนใดที่ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเป็นค่าจ้างและค่าเที่ยวส่วนใดที่เป็นค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติและโจทก์แต่ละคนมีสิทธิได้รับค่าจ้างเฉลี่ยชั่วโมงละเท่าใด โจทก์แต่ละคนทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานกี่ชั่วโมง เกินเวลาทำงานปกติในวันหยุดกี่ชั่วโมง มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติคนละเท่าไร ทำงานในวันหยุดกี่วันและมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดคนละเท่าไรก่อน แล้วพิพากษาเสียใหม่ตามรูปคดี
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติในวันทำงานและวันหยุด และค่าจ้างในวันหยุดของโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวน ในกรณีที่ศาลแรงงานกลางเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ฟังใหม่จะเป็นผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงก็ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 56 วรรคท้าย