กรมวิชาการเกษตรคิดค้นยางรองตีนตะขาบเครื่องเกี่ยวนวด ช่วยลดต้นทุนแก้ปัญหาความ
การเก็บเกี่ยวข้าวของเกษตรกรในปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้เครื่องเกี่ยวนวด เพราะสะดวก รวดเร็วและลดการใช้แรงงาน แต่ปัญหาของเครื่องเกี่ยวนวดที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยตีนตะขาบที่ทำจากเหล็ก เมื่อนำมาวิ่งบนถนนจะทำให้ผิวถนนเสียหาย อีกทั้งผิดกฎหมายด้วย นักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร จึงได้คิดค้นและทำงานวิจัยการพัฒนายางรองตีนตะขาบเครื่องเกี่ยวนวดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
นางณพรัตน์ วิชิตชลชัย ผู้อำนวยการกลุ่มอุตสาหกรรมยางสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตรกล่าวว่า จากปัญหาของเครื่องเกี่ยวนวดตีนตะขาบที่สร้างจากเหล็กเวลาเคลื่อนย้ายจากแปลงนาหนึ่งไปสู่อีกแปลงนาหนึ่งต้องวิ่งบนถนนส่งผลกระทบต่อผิวถนนเสียหาย จนมีข้อขัดแย้งระหว่างเจ้าของเครื่องเกี่ยวนวดกับหน่วยงานท้องถิ่นที่ดูแลถนน จนมีการนำมาตรการทางกฎหมายมาบังคับใช้เพื่อแก้ปัญหาผิวถนนเสียหาย คือ ถ้าจะนำเครื่องเกี่ยวนวดมาขับเคลื่อนบนถนนจำเป็นต้องมีแผ่นยางรองรับเพื่อป้องกันผิวถนนเสียหาย ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและเสียเวลาในการเคลื่อนย้าย เจ้าของเครื่องเกี่ยวนวดส่วนใหญ่จึงหันมาใช้วิธีขนย้ายด้วยรถบรรทุกแทน ทำให้มีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 บาทต่อชั่วโมงส่งผลต่อค่าจ้างเครื่องเกี่ยวนวดที่เกษตรกรต้องจ่ายปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
ปัจจุบันมีการใช้เครื่องเกี่ยวนวดในการเก็บเกี่ยวข้าวประมาณ 70% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ หรือคิดเป็นจำนวนเครื่องเกี่ยวนวดมากกว่า 10,000 เครื่อง ดังนั้น กรมวิชาการเกษตร โดยสถาบันวิจัยยาง และสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม จึงได้ร่วมกันพัฒนาวัสดุยางสำหรับรองตีนตะขาบ เพื่อลดความเสียหายต่อผิวถนน ลดการสูญเสียเวลาในการเคลื่อนย้าย ตลอดจนเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องเกี่ยวนวดและยังช่วยลดต้นทุนการผลิตข้าวของเกษตรกร ที่สำคัญยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบยางธรรมชาติโดยการแปรรูปเป็นวัสดุรองตีนตะขาบได้อีกช่องทางหนึ่ง
สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางรองตีนตะขาบเครื่องเกี่ยวนวด ทางคณะนักวิจัยได้มีการพัฒนาสูตรยางธรรมชาติผสมกับสารเคมี ได้แก่ สารกระตุ้น สารตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีสารป้องกันการเสื่อมสภาพ สารช่วยในการคงรูป โดยมีการศึกษาและทดลองเพื่อปรับปรุงสูตรทั้งหมด 30-40 สูตร จนกระทั่งได้สูตรที่เหมาะสม นอกจากนี้ได้ออกแบบแม่พิมพ์ยางซึ่งมีการทดสอบหลายรูปแบบด้วยกัน จนได้แม่พิมพ์ลักษณะที่มีส่วนโค้งและทำมุมเอียงด้านข้างเพื่อลดพื้นที่สัมผัสกับถนนซึ่งให้ประสิทธิภาพในการใช้งานได้ดี จากนั้นนำยางมาขึ้นรูปตามแม่พิมพ์ที่จัดเตรียมไว้ก็จะได้ยางรองตีนตะขาบเครื่องเกี่ยวนวด
ผลจากการทดสอบบนถนนลาดยางและปูนซีเมนต์ พบว่าเมื่อนำยางรองตีนตะขาบที่คณะได้คิดค้นขึ้นนี้มาติดตั้งกับเครื่องเกี่ยวนวดจะไม่ทำให้ผิวถนนเสียหาย และเมื่อนำไปทดสอบในสภาพแปลงนา พบว่าเครื่องเกี่ยวนวดทำงานได้ตามปกติ ยางตีนตะขาบมีอัตราการสึกหรอน้อยมากจนไม่สามารถวัดค่าได้เพราะสภาพพื้นนาเป็นดินเหนียวอ่อน อย่างไรก็ตาม ทางคณะวิจัยต้องการนำข้อมูลมาประเมินอายุการใช้งานและหาอัตราการสึกหรอของยางตีนตะขาบ จึงได้ทำการทดสอบในสภาพดินไร่ที่มีความแข็งกว่าดินนา โดยทำการทดสอบในพื้นที่ประมาณ 323 ไร่ หรือคิดเทียบเท่ากับแปลงนาพื้นที่ 1,721 ไร่ พบว่ามีอัตราการสึกหรอประมาณ 5% ซึ่งถือว่าน้อยมาก
นางณพรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานวิจัยการพัฒนายางรองตีนตะขาบเครื่องเกี่ยวนวดนี้ ใช้เวลาในการศึกษาวิจัยรวม 2 ปี จึงได้ผลิตภัณฑ์ยางรองตีนตะขาบออกมา ซึ่งขณะนี้ได้มีการนำผลงานไปให้กับเจ้าของเครื่องเกี่ยวนวดในพื้นที่ต่างๆ ทดสอบผลการใช้งานจริงก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งมีผู้ประกอบการสนใจจะนำผลงานวิจัยนี้ไปต่อยอดผลิตในเชิงการค้าด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่ายางรองตีนตะขาบจะสามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับเจ้าของเครื่องเกี่ยวนวด โดยเฉพาะลดความขัดแย้งกับชุมชนเพราะไม่ทำให้ผิวถนนเสียหาย สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก จึงลดค่าเสียเวลา คิดเป็นต้นทุนที่ลดลงรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทต่อชั่วโมง
หากเกษตรกรหรือผู้สนใจผลิตภัณฑ์ยางรองตีนตะขาบต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่กลุ่มอุตสาหกรรมยาง สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2940-5712, 0-2940-6595 หรือที่สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร โทร.0-2940-5582 ในวันและเวลาราชการ