คำพิพากษาฎีกา 9139/2553
ศาลแรงงานมีคำสั่งหรือพิพากษาเกินคำขอได้ หากเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2544 โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ผู้จัดการแผนก ได้รับค่าจ้างเดือนละ 41,403 บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ 25 ของเดือน วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า อ้างว่าบกพร่องต่อหน้าที่และปฏิบัติงานโดยไม่ใช้ความระมัดระวังเป็นเหตุให้บุคคลภายนอกจัดทำเอกสารปลอมเพื่อนำไปใช้แจ้งการเสียภาษีนำเข้าอันเป็นเท็จต่อกรมศุลกากรหลายครั้ง เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นความจริงและมิใช่ความผิดของโจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 124,209 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 56 วัน เป็นเงิน 81,425.90 บาท การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 5,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหาย 5,081,425.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และค่าชดเชย 124,209 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ แผนกซ่อมบำรุงตู้คอนเทนเนอร์ มีหน้าที่ดูแลจัดการซ่อมบำรุงตู้สินค้าหรือตู้คอนเทนเนอร์ นอกจากนั้นยังมีหน้าที่จัดการซื้อตู้สินค้าเก่าให้จำเลยเพื่อนำมาขายเอากำไรตามระเบียบและวิธีปฏิบัติของจำเลย กล่าวคือ โจทก์จะต้องแจ้งความประสงค์ในการซื้อพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังผู้จัดการฝ่ายนำเข้าทางเรือเพื่อดำเนินการนำเข้าตู้สินค้าที่ขอซื้อและเสียภาษีผ่านพิธีการทางศุลกากรอย่างถูกต้องในนามจำเลยต่อกรมศุลกากร แต่โจทก์เจตนาทุจริตหรือเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ โจทก์กลับนำการดำเนินการขอนำเข้าตู้สินค้าที่จะซื้อไปให้นายประพันธ์ ประภาศิริกุล พนักงานเก่าที่ลาออกเพราะถูกจำเลยสอบสวนความผิดทุจริตเป็นผู้ไปดำเนินการ ปรากฏว่านายประพันธ์ ร่วมกับผู้มีชื่อดำเนินการแจ้งเท็จต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรโดยหลบเลี่ยงการเสียค่าอากรขาเข้าและนำสินค้าทั้งหมดหลบเลี่ยงการตรวจปล่อยไม่ผ่านพิธีการตรวจปล่อยตามพิธีการทางศุลกากร และโจทก์สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาจ่ายค่าดำเนินการในราคาเหมาจ่ายที่ตกลงไว้กับนายประพันธ์ไปเป็นเงินสดโดยไม่ขออนุมัติจากจำเลยอันเป็นการผิดระเบียบและหากโจทก์ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบเอกสารจากนายประพันธ์ก็จะทราบถึงการดำเนินการโดยไม่ถูกต้องของนายประพันธ์ การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอาจต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตในการเป็นตัวแทนนำเข้าและส่งออกของกรมศุลกากรอาจทำให้จำเลยต้องคดีอาญา ทำให้เสียชื่อเสียงทางการค้า และจากการกระทำดังกล่าว จำเลยต้องแก้ไขโดยนำตู้สินค้าดังกล่าวทั้งหมดรวม 15 ตู้ ไปดำเนินการขอนำเข้าและเสียภาษีผ่านพิธีการทางศุลกากรอย่างถูกต้องใหม่ ต้องสูญเสียเงินไป 139,000 บาท การกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างหรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายตามฟ้อง ทั้งโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายสูงเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหายจากการนำเข้าตู้สินค้าและเสียภาษีอย่างผิดวิธีเป็นเงิน 139,000 บาท ค่าเสื่อมเสียชื่อเสียงทางการค้าทำให้จำเลยขาดรายได้จากการค้าเป็นเงิน 3,000,000 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ในการจัดซื้อตู้สินค้า โจทก์มีหน้าที่เพียงแจ้งให้ผู้จัดการใหญ่หรือผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ซึ่งมีอำนาจจัดซื้อทราบและดำเนินการติดต่อขอซื้อ หลังจากรับตู้สินค้าแล้วเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะซ่อมแล้วขายหรือขายโดยไม่ต้องซ่อม โจทก์ไม่มีอำนาจในการจ้างนายประพันธ์เข้ามาดำเนินการขอนำเข้าตู้สินค้าและผ่านพิธีการทางศุลกากร แต่เป็นอำนาจของนายมูราโอกะ หรือนายโอชิมา โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ทราบว่าการดำเนินการทางพิธีการทางศุลกากรจะต้องทำอย่างไร และโจทก์ไม่มีอำนาจอนุมัติในการจ่ายเงิน เป็นอำนาจของนายโอชิมา และนายอาราชิมา หากไม่ได้รับการอนุมิติก็ไม่สามารถจ่ายเงินได้การจ่ายเงินทุกครั้งได้รับการอนุมัติโดยถูกต้องแล้ว โจทก์มิได้ทุจริตหรือประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายตามที่จำเลยฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยจำนวน 124,209
บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 กรกฎาคม 2547) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการเป็นตัวแทนในการนำเข้าและส่งออกสินค้าต่างประเทศ กรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.15 โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2544 ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้จัดการแผนกซ่อมและบำรุงตู้คอนเทนเนอร์ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 41,403 บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาวันที่ 29 มิถุนายน 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 เป็นต้นไป โดยไม่มีการจ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ ตามเอกสารหมาย ล.1 โจทก์เป็นผู้บริหารคนไทยสูงสุดในแผนกซ่อมและบำรุงตู้คอนเทนเนอร์ มีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการและพนักงานในแผนกทั้งหมด อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้บริหารซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นคือผู้จัดการใหญ่ฝ่ายคอนเทนเนอร์เดิมคือนายมูราโอกะ เมื่อนายมูราโอกะย้ายกลับไปประเทศญี่ปุ่นในปลายปี 2546 มีนายโอชิมาทำหน้าที่แทนนายมูราโอกะ ผู้บริหารเหนือขึ้นไปคือนายอาราชิมาผู้อำนวยการ เดิมแผนกตู้คอนเทนเนอร์รับทำการตรวจสภาพซ่อมและบำรุงรักษาตู้คอนเทนเนอร์ ต่อมาปี 2545 โจทก์เสนอให้มีการซื้อและขายตู้คอนเทนเนอร์เก่าที่ยังสามารถใช้ได้ภายในประเทศเพื่อเป็นการหารายได้เพิ่มให้แก่แผนกและได้รับความเห็นชอบจากนายมูราโอกะให้ดำเนินการ ดังนั้นเมื่อจะทำการซื้อขายตู้คอนเทนเนอร์ โจทก์จะให้นางรัชนก ธนธิติกาญจน์ พนักงานประสานงานด้านเอกสารทำการสำรวจตู้ที่ยังสามารถใช้งานได้แล้วรายงานให้โจทก์ทราบ จากนั้นโจทก์จะแจ้งให้นายมูราโอกะติดต่อซื้อตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัทเอ็น วาย เค ลาย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของจำเลยตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้บรรทุกสินค้าเข้ามาในประเทศไทยโดยติดต่อผ่านตัวแทนซึ่งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดยจดหมายอีเล็กทรอนิกส์หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่าอีเมล์ ดังเช่นเอกสารหมาย จ.3 และจ.14 เมื่อตกลงซื้อขายกันแล้ว ตัวแทนในประเทศสิงคโปร์จะแจ้งมายังบริษัท เอ็น วาย เค ชิปปิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนบริษัทแม่ในประเทศไทยให้ทราบ เพื่อส่งเอกสารการซื้อขายให้จำเลยดำเนินการเสียภาษีผ่านพิธีการทางศุลกากรเอง โดยส่งเอกสารต่างๆ มาที่แผนกของโจทก์ ซึ่งจำเลยมีแผนกนำเข้าทางเรือทำหน้าที่พิธีการทางศุลกากรนำสินค้าเข้าโดยจำเลยมอบอำนาจให้นายไพโรจน์ ตั้งจิตร่วมบุญ ผู้จัดการใหญ่ของแผนกของแผนกดังกล่าวเป็นผู้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทในใบขนสินค้าและเอกกสารต่าง ๆ ในการทำพิธีการทางศุลกากรตามเอกสารหมาย ล.16 โดยกรมศุลกากรได้ออกบัตรประจำตัวผู้รับมอบอำนาจให้นายไพโรจน์ ตามเอกสารหมาย ล.17 เมื่อผ่านการดำเนินการของนายไพโรจน์แล้ว นายไพโรจน์จะมอบให้พนักงานคนใดคนหนึ่งในแผนกไปดำเนินการต่อกรมศุลกากรรวมทั้งนายสมบูรณ์ ชัยศรีสุรพันธ์ ด้วยคนหนึ่ง ซึ่งกรมศุลกากรได้ออกบัตรผ่านพิธีการทางศุลกากรให้นายสมบูรณ์ไว้ตามเอกสารหมาย ล.18 เดิมเมื่อตกลงซื้อขายกันแล้ว บริษัท เอ็น วาย เค ชิปปิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จะส่งเอกสารต่างๆ มาที่นางรัชนก จากนั้นนางรัชนกจะส่งเอกสารเหล่านั้นไปให้แผนกนำเข้าทางเรือทำพิธีการทางศุลกากรเนื่องจากตู้คอนเทนเนอร์มี 2 ชนิด คือชนิดแห้ง และชนิดเย็น ซึ่งแต่ละตู้จะมีหมายเลขกำกับไว้ ตู้ที่ขึ้นด้วยหมายเลข 7 จะเป็นตู้ชนิดเย็นการเสียภาษีในการทำพิธีการทางศุลกากรจะต้องชำระทั้งค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าอากรขาเข้า ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.4 แผ่นที่ 2 ส่วนตู้อีกชนิดหนึ่งคือตู้แห้งหมายเลขที่กำกับไว้จะขึ้นต้นด้วยเลขอื่นทั้งหมดเว้นแต่หมายเลข 7 จะต้องชำระเฉพาะค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 2 เมื่อชำระค่าภาษีแล้ว ก็จะต้องนำเอกสารผ่านจุดตรวจปล่อยเพื่อตรวจความถูกต้อง เมื่อเห็นว่าถูกต้องแล้วเจ้าหน้าที่ก็บันทึกการตรวจปล่อย ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 4 หลังจากทำพิธีการทางศุลกากรดังกล่าวแล้ว แผนกนำเข้าทางเรือจะส่งเอกสารที่ผ่านพิธีการและใบปะหน้าเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการและค่าภาษีมาที่นางรัชนก นางรัชนกจะถ่ายสำเนาเอกสารที่ผ่านพิธีการดังกล่าวเพื่อส่งไปให้บริษัท เอ็น วาย เค ชิปปิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อยืนยันว่าการซื้อขายได้ผ่านพิธีการทางศุลกากรถูกต้องแล้ว จากนั้นบริษัทดังกล่าวก็จะให้จำเลยรับตู้สินค้าไปเพื่อขายให้ลูกค้าต่อไป ในขณะเดียวกันนางรัชนกก็จะส่งเอกสารที่แผนกนำเข้าทางเรือทำพิธีการทางศุลกากรนั้นไปให้นางลักขณา แซ่จึง ผู้รับผิดชอบการเงินของแผนก เพื่อรวบรวมเอกสารเสนอนายมูราโอกะหรือนายโอชิมาแล้วแต่ช่วงเวลาการทำหน้าที่เพื่อลงลายมือชื่ออนุมัติการจ่ายเงินดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 1 เมื่อมีการลงลายมือชื่ออนุมัติแล้ว นางลักขณาก็จะส่งเอกสารทั้งหมดไปให้แผนกบัญชีและการเงินของบริษัทตัดจ่ายการชำระเงินโดยวิธีภายใน แผนกของโจทก์ได้ให้แผนกนำเข้าทางเรือทำพิธีการทางศุลกากรหลายครั้งตามเอกสารหมาย ล.2 ล.4 และ จ. 8 ถึง จ.13 ต่อมาตั้งแต่ประมาณปลายปี 2546 แผนกโจทก์ได้ปรึกษากันว่าในการให้แผนกนำเข้าทางเรือทำพิธีการทางศุลกากรจะเสียค่าภาษีสูงขึ้น ประกอบกับก่อนหน้านั้นนายประพันธ์ ประภาศิริกุล เคยเป็นพนักงานของจำเลยในแผนกตู้คอนเทนเนอร์นี้ แต่ในปี 2543 หรือ 2544 พนักงานผู้ใต้บังคับบัญชาของนายประพันธ์ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยจึงได้ตั้งกรรมการสอบสวนนายประพันธ์และพนักงานผู้นั้นนายประพันธ์จึงขอลาออกไป และในปี 2546 นายประพันธ์ก็เคยติดต่อขอซื้อตู้คอนเทนเนอร์จากแผนกของโจทก์แต่ได้ขอนำไปทำพิธีการทางศุลกากรเอง ดังเช่นเอกสารหมาย จล.1 และจล.2 มีการตรวจสอบแล้วปรากฏว่าการดำเนินการของนายประพันธ์ เสียภาษีถูกกว่า แผนกของโจทก์จึงตกลงให้นายประพันธ์เป็นผู้ทำพิธีการทางศุลกากรตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมารวม 4 ครั้ง จำนวน 15 ตู้ โดยตกลงเหมาจ่ายค่าดำเนินการและค่าภาษีทั้งหมด ตู้ชนิดแห้งตู้สั้นราคาตู้ละ 6,000 บาท ตู้ยาวราคาตู้ละ 8,500 บาท และตู้ชนิดเย็นราคาตู้ละ 16,000 บาท ขั้นตอนการดำเนินการก็เช่นเดียวกับที่ให้แผนกนำเข้าทางเรือดำเนินการทั้งหมด เมื่อนางรัชนกได้รับเอกสารจากบริษัท เอ็น วาย เค ชิปปิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว แทนที่จะส่งไปให้แผนกนำเข้าทางเรือดำเนินการพิธีการทางศุลกากร ก็จะส่งมอบเอกสารทั้งหมดไปให้นายประพันธ์ดำเนินการแทน ปรากฏว่านายประพันธ์ได้มอบให้นายฉัตรชัย จิตต์ธรรมา ไปดำเนินการ เมื่อนายฉัตรชัยดำเนินการแล้วก็จะส่งเอกสารให้นายประพันธ์ นายประพันธ์จะนำเอกสารที่ผ่านพิธีการทางศุลกากรแล้วนั้นมามอบให้นางรัชนกเพื่อถ่ายสำเนาส่งไปให้บริษัทเอ็น วาย เค ชิปปิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตรวจให้จำเลยรับตู้ไปขายต่อไปและนางรัชนกส่งเอกสารที่ผ่านพิธีการนั้นไปให้นางลักขณา แต่เนื่องจากนายประพันธ์ไม่ได้ทำเอกสารใบปะหน้าเพื่อขอเบิกเงินมา นางลักขณาจึงขออนุญาตจ่ายเป็นเงินสด โดยใช้แบบฟอร์มการจ่ายเงินสดของบริษัทให้ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่ออนุมัติจ่ายตามลำดับ เริ่มจากนายธเนศ ธรรมโรจน์ ผู้ช่วยผู้จัดการแผนก โจทก์ นายโอชิมา และนายอาราชิมาตามลำดับ ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.10 แผ่นที่ 1 และนายประพันธ์ทำเอกสารลงลายมือรับเงินไว้ ดังเช่น เอกสารหมาย ล.10 แผ่นที่ 2 แล้วนางลักขณารวบรวมเอกสารส่งไปให้แผนกการเงินและบัญชีของบริษัท สำหรับเงินที่นายประพันธ์รับไปนั้นนายประพันธ์จะเก็บค่าตอบแทนในการดำเนินการส่วนของตนไว้เป็นเงินตู้ละ 2,000 บาท ที่เหลือมอบให้นายฉัตรชัยไปเอกสารที่นายประพันธ์ให้นายฉัตรชัยดำเนินการพิธีการทางศุลกากรทั้ง 15 ตู้ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.10 ถึง ล.13 โดยบริษัทเอ็น วาย เค ชิปปิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งมอบตู้คอนเทนเนอร์ทั้ง 15 ตู้ ให้จำเลยรับไปหมดแล้ว และจำเลยได้ขายไปให้แก่บุคคลภายนอกแล้วเป็นส่วนมาก ต่อมาประมาณเดือนพฤษภาคม 2547 ความจึงปรากฏข้อเท็จจริงที่ฟังได้จากการรายงานของนายไพโรจน์ต่อนายรังสรรค์ รังสิพล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและธุรการว่า ที่มอบให้นายประพันธ์ไปดำเนินการพิธีการทางศุลกากรแก่ตู้คอนเทนเนอร์ทั้ง 15 ตู้ นั้นเป็นไปโดยไม่ชอบ โดยมีการปลอมลายมือชื่อของนายไพโรจน์และตราประทับในใบขนส่ง มีการระบุอ้างว่านายสมบูรณ์เป็นผู้ไปดำเนินการต่อกรมศุลกากร ดังเช่นที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.10 แผ่นที่ 7 และแผ่นที่ 10 ถึง 13 และการเสียภาษีสำหรับตู้ชนิดเย็นก็เสียภาษีมูลค่าเพิ่มโดยไม่มีการเสียค่าอากรขาเข้าอีกทั้งการดำเนินการทั้ง 15 ตู้ ไม่มีเอกสารแสดงการตรวจปล่อยของเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายประพันธ์และบุคคลที่เกี่ยวข้องตามเอกสารหมาย ล.19 และจำเลยได้มอบให้นายรังสรรค์เป็นกรรมการสอบสวนโจทก์ นายรังสรรค์ได้ทำการสอบสวนนางลักขณา นางรัชนก โจทก์ นายธเนศ และนายประพันธ์ไว้ตามเอกสารหมาย ล.5 ถึง ล.9 ระหว่างสอบสวนนายฉัตรชัยได้ยอมรับว่าตราประทับในใบขนสินค้าในเอกสารหมาย ล.10 ถึง ล.13 เป็นตราประทับปลอมและได้ส่งตรายางดังกล่าวให้จำเลยไว้ตามเอกสารหมาย ล.20 ต่อมาจำเลยได้ไปทำเรื่องดำเนินการพิธีการทางศุลกากรสำหรับตู้คอนเทนเนอร์ทั้ง 15 ตู้ ที่ให้นายประพันธ์ไปดำเนินการนั้นให้ถูกต้องใหม่ทั้งหมด ตามเอกสารหมาย ล.14 ผลการสอบสวนจำเลยเห็นว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่และปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเสียหายอย่างร้ายแรง และเป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จึงมีหน้าที่ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2547 เลิกจ้างโจทก์โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 เป็นต้นไป การที่โจทก์มอบให้นายประพันธ์ไปดำเนินการทำพิธีการทางศุลกากรแทนแผนกนำเข้าทางเรือของจำเลยนั้นได้รับการอนุมัติเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาโดยชอบแล้ว ไม่ปราฏว่าโจทก์มีส่วนร่วมรู้เห็นให้นายประพันธ์หรือนายฉัตรชัยไปดำเนินการ โจทก์ไม่ได้ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและโจทก์ไม่ได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันครบสามปีแต่ไม่ครบหกปี จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน แต่โจทก์ขอคิดเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน จึงกำหนดให้เท่าที่โจทก์ขอ โจทก์เป็นผู้จัดการแผนกได้รับเงินเดือนสูง มีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการและพนักงานในแผนกทั้งหมด แต่ปล่อยปละละเลยไม่วางระเบียบการตรวจสอบให้ดี จนทำให้เกิดความผิดพลาดในแผนกจนอาจเกิดความเสียหายแก่จำเลย เป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ย่อมทำให้ไม่เป็นที่ไว้วางใจแก่จำเลยต่อไป จึงเป็นเหตุสมควรที่จำเลยสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้ทันที โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยได้รับตู้คอนเทนเนอร์ทั้ง 15 ตู้ ที่นายประพันธ์ไปดำเนินการพิธีการทางศุลกากรครบถ้วนจนจำเลยได้ขายไปเป็นส่วนมากซึ่งจำเลยย่อมได้กำไรจากการขาย และไม่มีผู้ใดกล่าวอ้างอันจะทำให้จำเลยได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงในทางการค้า การที่จำเลยไปดำเนินการพิธีการทางศุลกากรสำหรับตู้คอนเทนเนอร์ทั้ง 15 ตู้ ให้ถูกต้องใหม่ ทั้งๆ ที่ตู้คอนเทนเนอร์ส่วนมากจำเลยได้ขายไปแล้วเป็นการสมัครใจกระทำเพื่อป้องกันชื่อเสียงของจำเลยเอง โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามที่จำเลยฟ้องแย้ง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน ตามขอซึ่งน้อยกว่าสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่โจทก์อุทธรณ์ว่า แม้โจทก์จะฟ้องเรียกให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน แต่กฎหมายแรงงานในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลแรงงานกลางจะต้องพิพากษาให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่า หรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้” บทบัญญัติดังกล่าวให้ศาลแรงงานมีอำนาจพิเศษที่จะพิพากษาเกินคำขอได้ เพราะคดีแรงงานเป็นคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ลูกจ้างมีความรู้น้อย บางครั้งก็ดำเนินคดีด้วยตนเอง แต่ต้องเป็นกรณีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่ความ เมื่อปรากฏในคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 124,209 บาท โจทก์เป็นพนักงานจำเลบระดับผู้จัดการแผนกซ่อมและบำรุงตู้คอนเทนเนอร์ เป็นผู้บริหารคนไทยสูงสุดในแผนก เป็นผู้มีความรู้ โจทก์ย่อมรู้ถึงสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามสิทธิหลังจากจำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง โจทก์แต่งตั้งทนายความและทนายความโจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งโจทก์ไม่ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องทั้งที่มีทนายความและสามารถดำเนินการได้ ดังนั้น การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 124,209 บาท ตามขอพร้อมดอกเบี้ยจึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยตามสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 180 วัน เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอันไม่ใช่กรณีเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาในประเด็นนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การเลิกจ้างเป็นธรรมต่อโจทก์หรือไม่ ซึ่งการที่จะพิจารณาว่า การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 นั้น จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างอันแท้จริงของนายจ้างว่า มีเหตุแห่งการเลิกจ้างหรือไม่ และเหตุดังกล่าวเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ เห็นว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการแผนกปล่อยปละละเลยไม่วางระเบียบการตรวจสอบให้ดีปล่อยให้มีการปลอมเอกสารและลายมือชื่อในการดำเนินการเสียภาษีนำเข้าตู้สินค้าในนามจำเจยไม่ถูกต้อง จนทำให้เกิดความผิดพลาดในแผนกอาจเกิดความเสียหายแก่จำเลย เป็นการกระทำที่ผิดพลาดอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จึงมีเหตุให้นายจ้างไม่ไว้วางใจให้ลูกจ้างปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไปเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลอันสมควร มิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานวินิจฉัยในประเด็นนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่โจทก์เป็นผู้จัดการแผนกได้รับเงินเดือนสูง มีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการและพนักงานในแผนกทั้งหมดแต่ปล่อยปละละเลยไม่วางระเบียบการตรวจสอบให้ดี จนทำให้เกิดความผิดพลาดในแผนกอาจเกิดความเสียหายแก่จำเลย เป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ย่อมทำให้ไม่เป็นที่ไว้วางใจแก่จำเลยต่อไป จึงเป็นเหตุสมควรให้จำเลยสามารถเลิกจ้างโจทก์ได้ทันที โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตตามระเบียบประเพณีปฏิบัติตลอดมาจำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ นั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นดังกล่าว เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้บริหารคนไทยสูงสุดตำแหน่งผู้จัดการแผนกซ่อมบำรุงมีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการและพนักงานในแผนกทั้งหมดไม่เอาใจใส่ต่อหน้าที่ทำให้นายประพันธ์ไปดำเนินการเสียภาษีนำเข้าตู้สินค้าในนามจำเลยมีการหลบเลี่ยงการเสียภาษีและปลอมลายมือชื่อนายไพโรจน์ผู้รับมอบอำนาจของจำเลยในการเสียภาษีและตราประทับ ทำให้จำเลยเสียภาษีไม่ถูกต้องต่ำกว่าความเป็นจริงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนจำเลยต้องเสียภาษีผ่านพิธีการทางศุลกากรอย่างถูกต้องใหม่ต้องเสียภาษีอีกเป็นเงิน 139,000 บาท และทำให้จำเลยเสียชื่อเสียงในการค้า ขาดรายได้จากการค้าขายกับนายประพันธ์ เป็นเงิน 3,000,000 บาท เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแล้ว โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลย และจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ นั้น เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน
พิพากษายืน