ฎีกา 5863 -5873/53
ไม่ให้ความร่วมมือในการบริหารจัดการ เป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม
รายชื่อโจทก์ปรากฏตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีทั้งสิบเอ็ดสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 และเรียกจำเลยทั้งสิบเอ็ดสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 16 เมษายน 2535 ถึง วันที่ 2 ธันวาคม 2545 จำเลยจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 เข้าทำงานมีตำแหน่งสุดท้ายและอัตราค่าจ้างสุดท้ายปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แต่ละคน ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าตามกฎหมาย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้าง ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์ทั้งสิบเอ็ดกลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างเดิมและจ่ายค่าจ้างในระหว่างเลิกจ้างให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้าง ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละคน
จำเลยทั้งสิบเอ็ดสำนวนให้การและฟ้องแย้ง และแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจปิโตรเลียมค้าน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของจำเลย และมีคำสั่งตั้งผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลยทำให้บรรดาอำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของจำเลยและสิทธิตามกฎหมายของผู้ถือหุ้นของจำเลยยกเว้นสิทธิจะได้รับเงินปันผลตกอยู่แก่ผู้บริหารแผนดังกล่าวต่อมาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งตั้งกระทรวงการคลังโดยมีพลเอกมงคล อัมพรพิสิฎฐ์ พร้อมคณะรวม 5 คน เป็นผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารแผนรายใหม่แทนผู้บริหารแผนเดิม จำเลยโดยคณะผู้บริหารแผนรายใหม่ได้มอบอำนาจให้นายชีพวุฒิ ลิชูปถัมภ์ยศ เป็นผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเคยทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตามตำแหน่งหน้าที่และมีอัตราค่าจ้างสุดท้ายตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องของโจทก์แต่ละคนจริง โดยโจทก์ทั้งสิบเอ็ดสังกัดอยู่ในสายงาน KNOWLEDGE MANAGEMENT SYSTEM OFFICE (KMS) ซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการและพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ บริหารจัดการและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการดำเนินธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ บริหารจัดการและพัฒนาเทคโนโลยีของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด โดยไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามฟ้อง เนื่องจากเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควร กล่าวคือ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้ปฏิบัติงานให้ล่าช้า ไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานของจำเลย ละเลย ปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งจำเลยมอบหมาย ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของจำเลยในระหว่างการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ใช้หรือครอบครองทรัพย์สินของจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตและฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือระเบียบ หรือคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือไปยังโจทก์ทั้งสิบเอ็ดแล้ว โดยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2548 จำเลยมีประกาศฉบับที่ 029/2548 เรื่อง ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเพื่อให้การดำเนินการของจำเลยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ จึงมีคำสั่งให้ยุบสายงาน KMS ซึ่งโจทก์ทั้งสิบเอ็ดสังกัดอยู่และให้โอนพนักงานที่สังกัดสายงานนี้รวมทั้งโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสายงาน MIS DIVISION ซึ่งเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 นางพัทธนันท์ เตชะกำพุช รองผู้จัดการใหญ่สายงาน MIS ผู้บังคับบัญชามีหนังสือเชิญโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 เข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบนโยบายและแผนงานและจะได้มอบหมายงานในหน้าที่ให้โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 เพื่อรับไปปฏิบัติและดำเนินการในวันที่ 21 เมษายน 2548 แต่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 กลับเพิกเฉยและปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบนโยบายและแผนงานตลอดจนรับมอบหมายงานดังกล่าว อันเป็นการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่ปฏิบัติตามประกาศฉบับดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 จึงตักเตือนเป็นหนังสือไปยังโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 และในวันเดียวกันผู้บังคับบัญชาได้มีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ให้เข้ารายงานตัวเพื่อรับมอบหมายงานในวันที่ 25 เมษายน 2548 แต่เมื่อถึงกำหนดปรากฏว่ามีเพียงโจทก์ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เข้ารายงานตัวส่วนโจทก์ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8 ถึงที่ 11 ไม่ไปรายงานตัวเพื่อรับมอบหมายงานอันเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย หรือหน้าที่ซึ่งจำเลยมอบหมายส่วนโจทก์ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 หลังจากรายงานตัวแล้ว กลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาอันเป็นความผิดต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย จำเลยจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามประกาศคำสั่งที่ 003/2548 ลงวันที่ 27 เมษายน 2548 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2548 คณะกรรมการดังกล่าวได้มีหนังสือเชิญโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ไปให้ข้อเท็จจริง แต่โจทก์ที่ 3 ถึง 11 ปฏิเสธที่จะเข้าให้ข้อเท็จจริง จากผลการสอบสวนของคณะกรรมการพบว่าการกระทำของโจทก์ ที่ 3 ถึงที่ 11 เป็นการกระทำโดยมีพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปตามประกาศหรือคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยและผู้บังคับบัญชาเจตนาไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานของจำเลย ละเลยปฏิเสธหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายหรือหน้าที่ซึ่งจำเลยมอบหมาย และจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว ถือว่าเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนและทำให้จำเลยได้รับความเสียหายคณะกรรมการจึงมีมติให้พักงานโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 เป็นเวลา 7 วัน และให้โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ส่งมอบงานและทรัพย์สินที่อยู่ในความรับผิดชอบคืนแก่จำเลยแต่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 กลับเพิกเฉยและปฏิเสธที่จะส่งมอบทรัพย์สินที่อยู่ในความรับผิดชอบให้แก่จำเลย อีกทั้งได้ร่วมกันขัดขวางมิให้ผู้ได้รับมอบหมายได้เข้าปฏิบัติงานนอกจากนี้เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการสั่งพักงานดังกล่าวแล้ว โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 44 ก็มิได้กลับเข้ารายงานตัวหรือปฏิบัติงานโดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือมีเหตุอันสมควรคณะผู้บริหารแผนได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยตามคำสั่งที่ 004/2548 ผลการสอบสวนทางวินัยเห็นว่า โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 กระทำผิดโดยละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2548 จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2548 รวมเป็นระยะเวลา 7 วัน ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปตามคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ปฏิเสธหรือไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานของจำเลย มีความผิดตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ 8 วินัยและโทษทางวินัยข้อ 1.1.4 ข้อ 1.1.7 ข้อ 1.4.6 ข้อ 4.4 และ ข้อ 4.5 จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) และ(5) ส่วนการเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 และที่ 2 นั้นปรากฏว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2548 จำเลยมีประกาศแต่งตั้งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นคณะกรรมการศึกษาและพัฒนากระบวนการธุรกิจ แต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ให้ความร่วมมือและไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยเมื่อคณะกรรมการดังกล่าวนี้ได้เรียกประชุม โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ยอมให้ความร่วมมือเข้าร่วมประชุม อันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังที่จำเลยมอบหมาย อีกทั้งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2548 ทางสายงาน MIS ได้มีหนังสือขอให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบงานและทรัพย์สินที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 สังกัดอยู่เดิมคือหน่วยงาน KMS ตามประกาศของจำเลยฉบับที่ 029/2548 แต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้ดำเนินการส่งมอบงานและทรัพย์สินให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ต่อมาวันที่ 27 เมษายน 2548 จำเลยมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและมีหนังสือเชิญโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไปให้ข้อเท็จจริงแต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ปฏิเสธที่จะไปให้ข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการ ผลการสอบสวนของคณะกรรมการพบว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีเจตนาปฏิบัติงานให้ล่าช้า ไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ละเลย ปฏิเสธหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายหรือหน้าที่ซึ่งจำเลยมอบหมายและจงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหายเป็นความผิดตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ 8 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 1.14 ข้อ 1.17 ข้อ 4.2 และข้อ 4.4 คณะกรรมการจึงมีมติสั่งพักงานโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในระหว่างการสอบสวนทางวินัย และให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไปรายงานตัวในวันที่ 18 พฤษภาคม 2548 เพื่อส่งมอบงานที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากจำเลย แต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ โดยไม่ไปรายงานตัวและส่งมอบงานที่อยู่ในความรับผิดชอบให้แก่ผู้ได้รับมอบหมายจากจำเลย อีกทั้งได้ร่วมกับโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ขัดขวางไม่ให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยได้เข้าปฏิบัติงาน คณะผู้บริหารแผนจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยตามคำสั่งที่ 004/2548 นอกจากนี้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 จำเลยยังได้มีหนังสือลงโทษโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยตักเตือนเป็นหนังสือให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ละเว้นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยและขอให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ส่งมอบงานและทรัพย์สิน แต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กลับเพิกเฉย ฝ่าฝืนไม่ทำการส่งมอบงานและทรัพย์สินให้แก่ผู้ได้รับมอบหมายจากจำเลย เป้นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน ฝ่าฝืนต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทั้งเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการสั่งพักงานตามคำสั่งของจำเลยแล้ว โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้กลับเข้าไปรายงานตัวหรือปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด โดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือมีเหตุอันสมควร คณะผู้บริหารแผน เห็นว่า การกระทำของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดอย่างร้ายแรงโดยละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2548 จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2548 รวมเป็นระยะเวลา 7 วัน ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เป็นไปตามคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ปฏิเสธหรือไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยเป็นการกระทำผิดต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ 8 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 1.14 ข้อ 1.17 ข้อ 4.2 และข้อ 4.4 และข้อ 4.5 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) และ (5) จึงเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยไม่จ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวหน้าและการกระทำ ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงกล่าวคือ การที่ไม่ส่งมอบงานที่อยู่ในความรับผิดชอบ ไม่ส่งมอบรหัสประจำตัวในการเข้าสู่ระบบงานในคอมพิวเตอร์ เป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจเข้าไปใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งโจทก์ทั้งสิบเอ็ดจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นความเสียหายที่จำเลยมีความจำเป็นต้องติดตั้งวงจรสื่อสารเพิ่มเติมขึ้นใหม่เป็นการชั่วคราวซึ่งจำเลยต้องว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกที่มีความรู้ความเข้าใจระบบคอมพิวเตอร์ที่จำเลยใช้งานอยู่เพื่อทำงานติดตั้งระบบ Intetrnet Intranet และระบบ e-mail ใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาให้เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ และเป็นการดูแลระบบต่อเป็นการชั่วคราว จำเลยต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นเงินจำนวน 100,000 บาทต่อเดือน จำเลยได้ใช้จ่ายเป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมเป็นเงิน 300,000 บาท และการที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ส่งมอบงานและมอบรหัสผ่านเข้าสู่ระบบงานในคอมพิวเตอร์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายไม่อาจใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นผู้รับผิดชอบอยู่ จำเลยจำเป็นต้องว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบความเสียหายของระบบคอมพิวเตอร์ ตลอดจนดำเนินการแก้ไขระบบต่างๆ ให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้ออุปกรณ์ใหม่ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบคู่สายใหม่ทั้งที่สำนักงานของจำเลยที่กรุงเทพมหานครและที่จังหวัดระยอง ติดตั้งระบบความปลอดภัย ระบบ network ตลอดจนต้องวางระบบข้อมูลต่างๆ ทางธุรกิจของจำเลยใหม่ทั้งหมดเป็นเงินค่าเสียหายส่วนรวม 64,727,750 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 65,027,750 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสิบเอ็ดและบังคับให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 65,027,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ตามฟ้องแย้ง กล่าวคือ ก่อนที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2548 จำเลยไม่ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2548 เชิญโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไปให้ข้อเท็จจริง แต่ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม 2548 จำเลยได้สั่งพักงานโจทก์ทั้งสิบเอ็ดและจำเลยได้นำกำลังไปปิดสถานที่ทำงานของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดพร้อมปิดประตูและคล้องกุญแจประตูไม่ให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดเข้าไปในที่ทำงาน ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ การที่จำเลยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งวรจรสื่อสารและการที่จำเลยต้องว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญสั่งซื้ออุปกรณ์ใหม่ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบคู่สายใหม่ตลอดจนวางระบบข้อมูลต่างๆ ก็เป็นเรื่องของจำเลย โจทก์ทั้งสิบเอ็ดหาต้องรับผิดชอบไม่ และในระหว่างที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดทำงานให้จำเลยอยู่นั้น จำเลยได้ใช้บริการระบบวงจรสื่อสารจากบริษัทแอดวานซ์ ดาต้า เน็ทเวอร์ค คอมมิวนิเคชั่น จำกัด บริษัทยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด และบริการระบบอินเตอร์เน็ตจากบริษัทเอเน็ต จำกัด บริษัทอินเตอร์เน็ต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด ซึ่งจำเลยสามารถร้องขอความช่วยเหลือในการเข้าถึงระบบได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ตามสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ ระบบทั้งหมดที่ทำงานอยู่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องเว้นแต่จำเลยได้นำพาบุคคลเข้าไปกระทำการใดๆ แก่ตัวเครื่องและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ซึ่งอาจเป็นผลให้ระบบดังกล่าวเกิดปัญหาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่เคยปิดบังในเรื่องนี้ เป็นแต่จำเลยไม่สนใจสอบถามเอง โจทก์ทั้งสิบเอ็ดจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 396,800 บาท ค่าจ้างค้าง 9,920 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 19,840 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ค่าชดเชย 919,000 บาท ค่าจ้างค้าง 18,380 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 55,140 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ค่าชดเชย 581,700 บาท ค่าจ้างค้าง 11,634 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 31,024 บาท แก่โจทก์ที่ 3 ค่าชดเชย 244,320 บาท ค่าจ้างค้าง 6,108 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 12,216 บาท แก่โจทก์ที่ 4 ค่าชดเชย 162,000 บาท ค่าจ้างค้าง 5,400 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 5,400 บาท แก่โจทก์ที่ 5 ค่าชดเชย 143,220 บาท ค่าจ้างค้าง 4,774 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 4,774 บาท แก่โจทก์ที่ 6 ค่าชดเชย 126,480 บาท ค่าจ้างค้าง 4,216 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 4,216 บาท แก่โจทก์ที่ 7 ค่าชดเชย 54,120 บาท ค่าจ้างค้าง 3,608 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 3,608 บาท แก่โจทก์ที่ 8 ค่าชดเชย 59,520 บาท ค่าจ้างค้าง 1,984 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 1,984 บาท แก่โจทก์ที่ 9 ค่าชดเชย 27,840 บาท ค่าจ้างค้าง 1,856 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 1,856 บาท แก่โจทก์ที่ 10 และจ่ายค่าชดเชย 27,240 บาท ค่าจ้างค้าง 1,818 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 1,818 บาท แก่โจทก์ที่ 11 ทั้งนี้จำเลยต้องใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากค่าชดเชยค่าจ้างค้าง และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแต่ละจำนวนนับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2548 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่โจทก์แต่ละคนเสร็จสิ้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 11 และจำเลยทั้งสิบเอ็ดสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อ
เท็จจริงว่า การที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่เข้ารายงานตัวเพื่อรับมอบหมายงานในช่วงแรกที่ประธานคณะผู้บริหารแผนจากกระทรวงการคลังมีคำสั่งยุบหน่วยงาน KMS ซึ่งโจทก์ทั้งสิบเอ็ดทำงานรับผิดชอบอยู่เดิมซึ่งขึ้นตรงต่อนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธาน ผู้บริหารของจำเลย ไปสังกัดงาน MIS โจทก์ทั้งสิบเอ็ดย่อมต้องมีปฏิกิริยา โดยโจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังประธานคณะผู้บริหารแผนจากกระทรวงการคลังตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2548 โจทก์ทั้งสิบเอ็ดขึ้นไปห้องทำงานในหน่วยงาน KMS ปรากฏว่ามีการปิดล็อกประตูเข้าหน่วยงานดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่สามารถส่งมอบงาน ทรัพย์สิน และพาสเวิร์ด ให้แก่จำเลยผู้เป็นนายจ้างตามคำสั่งของฝ่ายจำเลย การฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาในสายงาน MIS ซึ่งจะต้องไปสังกัดของโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 การไม่เข้าร่วมประชุมในการประชุมคณะกรรมการศึกษาและพัฒนากระบวนการธุรกิจของจำเลยของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในครั้งที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 โดยโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้ทำหนังสือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่เข้าร่วมประชุมไว้นั้น กรณียังไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยผู้เป็นนายจ้างอันจะเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงและรับฟังข้อเท็จจริงว่า กรณีถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดกระทำผิดซ้ำคำเตือนและข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรจำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชย ให้แก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด นอกจากนี้ศาลแรงงานกลางยังรับฟังข้อเท็จจริงว่า พฤติกรรมของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดถือได้ว่าเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต ดังนั้น จำเลยผู้เป็นนายจ้างย่อมเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ด การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด
ที่จำเลยทั้งสิบเอ็ดสำนวนอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมกรณีที่ร้ายแรง เพราะเมื่อจำเลยยุบหน่วยงาน KMS และให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไปเป็นกรรมการในคณะกรรมการศึกษาและพัฒนากระบวนการธุรกิจ กับให้โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ไปปฏิบัติงานสาย MIS นั้น โจทก์ทั้งสิบเอ็ดก็ต้องปฏิบัติตาม การที่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังตัวแทนกระทรวงการคลังและขอปฏิบัติงานตามหน้าที่และความรับผิดชอบเดิมไปก่อนแต่เมื่อนางพัทธนันท์ เตชะกำพุธ รองผู้จัดการใหญ่สาย MIS เชิญโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ประชุมเพื่อรับทราบนโยบายและรับมอบงานในวันที่ 21 เมษายน 2548 ซึ่งเป็นเวลา หลังจากโจทก์ร้องขอความเป็นธรรมถึง 15 วัน โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ควรจะทราบหรือเข้าใจแล้วว่าหนังสือขอความเป็นธรรมของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้รับการตอบสนองการที่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ไม่ไปประชุมตามที่ผู้บังคับบัญชานัดหมาย จึงเป็นการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยแจ้งชัดและการที่นายผดุงศักดิ์ ธีระภาพ ผู้ช่วยรองผู้จัดการใหญ่สาย MIS เคยแจ้งโจทก์ที่ 3 ให้แจ้งพนักงานที่เหลือมารายงานตัว แต่ไม่มีผู้ใดมารายงานตัวเพิ่มเติม ชี้ให้เห็นได้ว่าโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 จงใจหลีกเลี่ยงคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ให้ไปรายงานตัว เป็นการจงใจให้จำเลยได้รับความเสียหาย และที่อุทธรณ์ว่า คำเบิกความของโจทก์ที่ 2 ที่ว่า โจทก์ที่ 2 กับพวกทั้งหมดไม่เคยเห็นเอกสารหมาย ล. 9 มาก่อนนั้นไม่น่าเชื่อถือ คำเบิกความของนายผดุงศักดิ์ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่า จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ได้รับเอกสารหมาย ล. 9 ที่กำหนดให้โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 มอบหมายงานภายในวันที่ 27 เมษายน 2548 การที่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 11 ไม่ปฏิบัติตามหรือแจ้งเหตุขัดข้องต่อผู้บังคับบัญชาเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายนั้น ล้วนแต่โต้แย้งดุลพินิจในการช่างน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางโดยมีวัตถุประสงค์ต้องการให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงใหม่และนำไปสู่ข้อกฎหมายว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมกรณีที่ร้ายแรง จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดอุทธรณ์ว่า จำเลยมีเจตนาวางแผนกลั่นแกล้งเพื่อเลิกจ้างโจทก์ ทั้งสิบเอ็ด จึงเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดโดยไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดนั้น เป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดอุทธรณ์ว่า จำเลยต้องรับโจทก์ทั้งสิบเอ็ดกลับเข้าทำงานตามตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างเดิมนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแล้ว โจทก์ทั้งสิบเอ็ดจึงไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสิบเอ็ดกลับเข้าทำงานตามตำแหน่งหน้าที่และอัตราค่าจ้างเดิมหรือเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 และที่โจทก์ทั้งสิบเอ็ดอุทธรณ์ว่าจำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสิบเอ็ด เห็นว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าพฤติกรรมของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นไปในทำนองไม่ยอมรับอำนาจบริหารจัดการของจำเลยโดยไม่ยอมเข้ารายงานตัวและเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหรือคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่ง กับพฤติกรรมของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งพยายามไม่เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการศึกษาและพัฒนากระบวนการธุรกิจของจำเลย กับการไม่เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยย่อมมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเสียได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 และมาตรา 582 และ 583 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น แม้ศาลแรงงานกลางจะฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้กระทำผิดซ้ำคำเตือน และไม่ได้ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดส่อไปในทำนองไม่ยอมรับไม่ให้ความร่วมมือในการบริหารจัดการของจำเลย ซึ่งจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามบทกฎหมายดังกล่าวอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดในส่วนนี้ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลแรงงานกลางดังกล่าวได้ จึงเป็นข้อที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดและอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบเอ็ดสำนวน