ปีนี้วันแรงงานจัดใหญ่อลังการก.แรงงานใจป้ำให้5ล้านบาท
กระทรวงแรงงานทุ่มกว่า 5 ล้าน ให้สภาองค์การลูกจ้างแรงงานอิสระฯ และกลุ่มสหภาพรัฐวิสาหกิจ รวม 15 แห่ง จัดงานวันแรงงาน 1 พฤษภาคมนี้อย่างยิ่งใหญ่ที่ท้องสนามหลวง โดยนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน ประธานสภาลูกจ้างฯ เผยจะนำช้าง 9 เชือกมาเดินเทิดพระเกียรติ และเตรียมยื่น9 ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการด่วนทั้งเรื่องตั้งกองทุนความเสี่ยงเลิกจ้าง ยกเว้นภาษีเงินได้จากค่าชดเชยและหาวิธีการมาลดค่าครองชีพให้ผู้ใช้แรงงาน การแก้ กม.ใหม่ ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย 2 เท่า กรณีเลิกจ้างงาน ขณะที่ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และกลุ่มนักศึกษา ประกาศแยกตัวออกไปจัดงานต่างหากที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถนนราชดำเนิน พร้อมคัดค้านการนำช้างมาเดินวันแรงงาน หวั่นอากาศร้อนทำตกมัน ทำร้ายผู้มาร่วมงาน
เมื่อวันที่29 เม.ย.55 นายชัยพร จันทนา ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานอิสระแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ วันที่ 1 พ.ค. กล่าวว่า การจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปีนี้กระทรวงแรงงานได้สนับสนุนงบประมาณ 5.1 ล้านบาท ให้กับคณะกรรมการจัดงานที่มีสภาองค์การลูกจ้าง 13 แห่ง และกลุ่มรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง เพื่อนำมาจัดงานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระชนมพรรษา84 พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา โดยมีการนำช้างสัญลักษณ์ประจำชาติไทยมาร่วมเดินขบวนด้วย ทั้งนี้สำหรับกำหนดการจัดงานวันแรงงานวันที่ 1 พ.ค.นั้น ตั้งริ้วขบวนของสภาองค์การลูกจ้าง 13 แห่ง และกลุ่มรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง พร้อมขบวนช้างจากปางช้างอยุธยา แต่งองค์เทิดพระเกียรติในชุดช้างศึกสมเด็จพระนเรศวร 9 เชือก มารวมตัวที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 07.00 น. จากนั้นเวลา 09.00 น. จะเคลื่อนขบวนไปตามถนนราชดำเนินเข้าสู่เวทีกลางที่สนามหลวง ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นายชัยพร กล่าวอีกว่า ส่วนข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานที่จะยื่นกับนายกฯมีจำนวน 9 ข้อ ได้แก่ 1.ให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98 ข้อ 2.ให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงให้กับลูกจ้างในกรณีที่สถานประกอบการปิดกิจการ เลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงในการทำงาน 3.ให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 และยกเลิกการแปลงพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 และยกเลิกการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกกิจการ 4.ให้รัฐบาลยกเว้นการเก็บภาษีเงินได้ของลูกจ้างและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในกรณีเงินค่าชดเชย และเงินรายได้อื่นซึ่งเป็นเงินงวดสุดท้ายของลูกจ้าง 5.ให้รัฐบาลประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้แรงงานทราบอย่างกว้างขวางและติดตามผลการดำเนินงาน เรื่องความปลอดภัยในวิชาชีพและกรอบสุขภาพในระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน6.ให้รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาบทบัญญัติว่าด้วยการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในหมวด 13 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 (มาตรา 163) 7.ให้รัฐบาลประกาศพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ทันตามกรอบเวลาและประกาศยกเลิกการนำเข้าแร่ใยหิน 8.ให้รัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเลิกจ้างเป็น 2 เท่า จากเดิมที่บัญญัติไว้ 9.ให้รัฐบาลออกกฎหมายจัดตั้งกองทุนสวัสดิการดูแลรักษาสุขภาพพนักงานรัฐวิสาหกิจหลังเกษียณอายุให้เทียบเท่ากับข้าราชการบำนญ หรือภาคเอกชน
น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติที่เวทีท้องสนามหลวง โดยมีนายชัยพร เป็นประธานวันที่ 1 พ.ค.ว่า คสรท.และกลุ่มรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ นักศึกษาจะไม่ไปร่วมด้วย แต่จะแยกจัดกิจกรรมต่างหาก โดยตั้งขบวนที่หน้ารัฐสภาตั้งแต่เช้า จากนั้นเวลา 10.00 น. จะเคลื่อนขบวนไปยังอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ซึ่งจะมีเวทีเสวนาเกี่ยวกับปัญหาแรงงาน โดยพูดถึงความเดือดร้อนของคนงานและสินค้าราคาแพง
สำหรับข้อเรียกร้องของ คสรท.ที่สำคัญ ได้แก่ 1.รัฐต้องมีมาตรการลดค่าครองชีพแก่ประชาชนและผู้ใช้แรงงานโดยเร่งด่วน โดยมีมาตรการควบคุมราคาสินค้า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊สหุงต้ม รถเมล์ รถไฟ เรือโดยสาร 2.รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน โดยโครงสร้างค่าจ้างของแรงงานให้มีการปรับค่าจ้างทุกปี 3.รัฐและรัฐสภาต้องปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม ตรวจสอบได้ และจะต้องเร่งรัดนำ ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับ 14,264 รายชื่อเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรโดยเร่งด่วน
"คสรท.ไม่เห็นด้วยที่กระทรวงแรงงานจะนำช้างจำนวน 9 เชือกมาร่วมเดินในขบวนวันแรงงาน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการนำสัตว์มาร่วมเดินขบวนในวันแรงงาน และขณะนี้สภาพอากาศร้อนจัด และในการจัดงานใช้เครื่องขยายเสียงดิฉันเป็นห่วงว่าช้างอาจจะทนไม่ไหวและตกมัน ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อประชาชนที่มาร่วมงานจำนวนมากได้" น.ส.วิไลวรรณ กล่าว
ด้านนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน กล่าวถึงกรณีองค์กรแรงงาน แยกจัดงานวันแรงงาน 2 เวทีเพราะความเห็นไม่ตรงกัน ว่าอยากให้องค์กรแรงงานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรื่องนี้เคยพูดกับนายชาลีลอยสูง ประธาน คสรท.แล้ว อยากเห็นผู้นำแรงงานมีความปรองดอง เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ถ้าต่างฝ่ายต่างเดินคนละทางจะไม่เกิดพลังในการต่อสู้ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาของผู้ใช้แรงงานส่วนเรื่องการรับข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานไปแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมนั้น สิ่งที่สามารถดำเนินการได้ทันทีมี 3-4 ข้อ เช่น การจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงให้กับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง สำหรับข้อเรียกร้องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระทรวงแรงงานโดยตรงจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือต่อไป
พ.ค.สินค้าพาเหรดขยับราคา
ไทยโพสต์ * 2 องค์กรแรงงานแยกเดินสายจัดงานวันกรรมกรคนละที่ เตรียมยื่นข้อเสนอ "ยิ่งลักษณ์" ห้ามแปรรูป ขึ้นเงินเดือนทุกปี "วิไลวรรณ" เตือนอากาศร้อนนำช้างมาเดินระวังเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน "ส.อ.ท." บี้รัฐเร่งลดต้นทุนด่วนก่อนเอกชนตายยกเข่ง ชงลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1-1.5% เผยสินค้าเตรียมพาเหรดขึ้นราคารับค่าแรง-ราคาพลังงานพุ่ง โพลเผยประชา ชนอยากให้แก้ปัญหาปากท้องเป็นวาระเร่งด่วนของชาติ
เมื่อวันที่29 เม.ย. นายชัยพร จันท นา ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานอิสระแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ วันที่ 1 พ.ค. กล่าวว่า การจัดงานวันแรงงาน กระทรวงแรงงานสนับสนุนงบประมาณ 5.1 ล้านบาท ให้คณะกรรมการจัดงานที่มีสภาองค์การลูกจ้าง 13 แห่ง และรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง เพื่อนำมาจัดงานโดยกำหนดการ สภาองค์การลูกจ้าง 13 แห่ง และ รสก. 2 แห่ง จะตั้งริ้วขบวนพร้อมขบวนช้างจากปางช้างอยุธยา แต่งองค์เทิดพระเกียรติในชุดช้างศึกสมเด็จพระนเรศวร 9 เชือก รวมตัวที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 07.00 น. จากนั้น 09.00 น. จะเคลื่อนขบวนไปตามถนนราชดำเนินเข้าสู่เวทีกลางที่สนามหลวง โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน
สำหรับข้อเรียกร้องที่จะยื่นนายกฯปีนี้ มี 9 ข้อ คือ 1.ให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98 2.ให้จัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง ให้ลูกจ้างในกรณีที่สถานประกอบการปิดกิจการ เลิกจ้าง ไม่จ่ายค่าชดเชย 3.ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 และยกเลิกการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกกิจการ 4.ให้ยก เว้นการเก็บภาษีเงินได้ของลูกจ้างและพนัก งานรัฐวิสาหกิจ ในกรณีเงินค่าชดเชย และเงินรายได้อื่นๆซึ่งเป็นเงินงวดสุดท้ายของลูก งานรัฐวิสาหกิจ ในกรณีเงินค่าชดเชย และเงินรายได้อื่นๆซึ่งเป็นเงินงวดสุดท้ายของลูก จ้าง
5.รัฐบาลต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ แรงงานทราบอย่างกว้างขวางและติดตามผลการดำเนินงานเรื่องความปลอดภัยในวิชาชีพและกรอบสุขภาพในระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 6.ให้รัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในหมวด 13 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 (มาตรา 163) 7.ให้รัฐบาลประกาศพระราชกฤษฎีกาตั้งสถาบัน ส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ทันกรอบเวลา และประกาศยกเลิกการนำเข้าแร่ใยหิน 8.ให้รัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเป็น 2 เท่า จากเดิมที่บัญ ญัติไว้ และ 9.ให้ออกกฎหมายจัดตั้งกองทุนสวัสดิการดูแลรักษาสุขภาพพนักงาน รสก.หลังเกษียณอายุให้เทียบเท่ากับข้าราชการบำนาญ หรือภาคเอกชน
น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า คสรท.และกลุ่มรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ นักศึกษาจะไม่ไปร่วมขบวน แต่จะจัดกิจกรรมต่างหาก โดยตั้งขบวนที่หน้ารัฐสภาตั้งแต่เช้า จากนั้น 10.00 น.จะเคลื่อนขบวนไปยังอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา และจัดเวทีเสวนาเกี่ยวกับปัญหาแรงงาน โดยพูดถึงความเดือดร้อนของคนงานและสินค้าราคาแพง
เสนอรัฐเพิ่มค่าแรงทุกปี
สำหรับข้อเรียกร้องของ คสรท.ที่สำ คัญคือ 1.รัฐต้องมีมาตรการลดค่าครองชีพแก่ประชาชนและผู้ใช้แรงงานโดยเร่งด่วน โดยมีมาตรการควบคุมราคาสินค้า ราคาพลังงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงค่าโดยสาร 2.รัฐต้องกำ หนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุม ผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน โดยให้มีการปรับค่า จ้างทุกปี 3.รัฐและรัฐสภาต้องปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคมตรวจสอบได้ และต้องเร่งรัดนำร่าง
สินค้าเตรียมพาเหรดขึ้นราคา
นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ผู้ผลิตสินค้าเริ่มเจรจากับคู่ค้าในการขอปรับขึ้นราคาสินค้าแล้วหลังจากต้นทุนการผลิตเพิ่มต่อเนื่องและตรึงราคาสินค้ามาหลายเดือนแล้ว ซึ่งเบื้องต้นผู้ค้าอาจทยอยปรับราคาขายปลีกสินค้าบางชนิดที่ไม่อยู่ในการควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ในเดือน พ.ค.นี้ โดยตลาดในประเทศนั้นคงปรับเล็ก น้อย ไม่ปรับตามต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น 5-6% ส่วนตลาดต่างประเทศอาจปรับราคาสูงในสินค้าที่เป็นผู้ส่งออกหลัก เช่น สับปะรดกระ ป๋อง, ปลาทูน่า และเกษตรแปรรูป แต่อุตสาห กรรมที่เป็นผู้ส่งออกรายเล็กๆ คงปรับขึ้นยาก เพราะว่าลูกค้าจะหันไปซื้อสินค้าจากเวียด นาม จีน และอินโดนีเซียแทนได้ เนื่องจากยังไม่ประสบปัญหาต้นทุนค่าแรงเหมือนไทย
"สินค้าต่างๆ หลายรายการตามร้านโมเดิร์นเทรด รวมถึงร้านสะดวกซื้อต่างปิดป้ายประกาศว่าราคาสินค้าจะอยู่ในราคานี้ไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นไปได้ว่าสินค้าในร้านเหล่านี้จะทยอยปรับราคาใหม่หลังจากที่ได้กำหนดไว้ เพราะผลกระทบต้นทุนวัตถุดิบและค่าจ้างที่สูงขึ้น เนื่องจากส่วนใหญ่เก็บสต็อกสินค้าเฉลี่ยที่ 1-2 เดือนเท่านั้น"
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เผยว่า จากการสำรวจราคาสินค้าอาหารสดในตลาดกรุงเทพฯ หลังเทศกาลสงกรานต์ เมื่อเปรียบเทียบราคาก่อนเทศกาล พบว่า ราคาอาหารสดปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะหมูเนื้อแดง ขึ้นจาก กก.ละ 110-115 บาท เป็น กก.ละ 120-130 บาท รวมถึงไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องในปรับขึ้นจากตัวละ52-55 บาท เป็น 62-65 บาท และไข่ไก่เบอร์ 3 ขึ้นจากฟองละ 2.40-2.50 บาท เป็นฟองละ 2.80-2.90 บาท ผักสดพบส่วนใหญ่ก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เช่น ผักคะน้าอยู่ที่ กก. 50-52 บาท จากเดิม 30-32 บาท ผักบุ้งจีน 20-22 บาท ขึ้นจาก 18-20 บาท ผักกาดขาวปลีก กก.ละ 40-42 บาท จาก 20-25 บาท และถั่วฝักยาว กก.ละ 52-55 บาท ขึ้นจาก 32-35 บาท ซึ่งสาเหตุที่ราคาผักสดปรับเพิ่มขึ้นมากเกิดจากปีนี้อากาศแล้งกว่าปกติ
สินค้าพุ่งรับค่าแรง 300 บาท
รายงานแจ้งอีกว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในกรุงเทพฯ หลังปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ พบว่า ราคาสินค้าได้เริ่มทยอยปรับราคาหลายรายการ โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร ผักและผลไม้ และเครื่องดื่มโดยเฉพาะสินค้าที่มีน้ำหนักบรรทุกมาก เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดขนาด 1.5 ลิตร แพ็กละ 6 ขวด ขึ้นราคาขายส่งจากเดิม 56 บาท เป็น 58 บาท รวมทั้งราคาขายปลีกยังเกินราคาแนะนำที่กรมการค้าภายในกำหนดไว้ขวดละ 14 บาท น้ำหวานเฮลซ์บลูบอย ขึ้นจากขวดละ 31-32 บาท เป็น 34-35 บาท, กาแฟกระป๋องปรับจาก 12-13 บาท เป็นกระป๋องละ 14-15 บาท ส่วนกลุ่มเครื่องใช้ในบ้านเช่น ตู้ เตียง ชั้นวางของ ไม้อัด เก้าอี้เหล็กอะลูมิเนียม รวมถึงกระบอกน้ำพลาสติกได้แจ้งว่าสินค้ารอบใหม่ที่จะเข้ามาตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ จะปรับราคาขึ้นขั้นต่ำอีก 5-10% เพราะได้รับผลกระทบจากค่าแรงและน้ำมันที่สูงขึ้น
นายกิดดิวงศ์ สมบุญธรรม เลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ กก.ละ 65-66 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วง 1-2 เดือนก่อน ซึ่งเป็นไปตามภาวะกลไกตลาด เพราะปริมาณ หมูออกสู่ตลาดน้อยลง จากสภาพอากาศร้อน และปริมาณการบริโภคหมูมีเพิ่มขึ้น
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องว่า รัฐ บาลต้องกลับมาดูแลประชาชน ดูแลราคาสิน ค้าเกษตร ยกเลิกการใช้วิธีการจำนำกลับมาใช้วิธีการประกันรายได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ เกษตรกรและป้องกันการทุจริต และอยากเรียกร้องเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ300 บาทที่ผิด สัญญากับประชาชน เพราะทำเพียง 7 จัง หวัดไม่ทั่วประเทศ