คำพิพากษาฎีกา 547- 51
นายจ้างตกลงรับผิดชอบค่าภาษีให้แก่ลูกจ้างภายหลังออกจากงาน จะฟ้องเรียกเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากลูกจ้างไม่ได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จำเลยเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์คนหนึ่งในช่วงระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 และยังเป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งประธานกรรมการผู้บริหาร มีอำนาจหน้าที่บริหารงาน เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2544 โจทก์ได้จ่ายเงินชดเชยตามสัญญาจ้างแรงงานแก่จำเลยในฐานะผู้บริหารตามสัญญาที่โจทก์และจำเลยมีต่อกันจำนวน 3 สัญญา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 143,594,900 บาท โดยจำเลยจัดแบ่งจ่ายออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2544 จำนวน 20,420,900 บาท เป็นการจ่ายเงินเดือน 420,900 บาท โบนัส 5,000,000 บาท เงินชดเชยตามกฎหมาย 5,316,960 บาท เงินชดเชยตามสัญญาจ้าง 9,683,040 บาท โดยได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ของเงินทุกจำนวนดังกล่าวรวมเป็นเงิน 5,042,653.80 บาท และยังหักค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่จำเลยต้องคืนโจทก์จำนวน 8,589.80 บาท จึงเหลือเงินสุทธิที่จำเลยได้รับไปจำนวน 15,369,657.20 บาท ส่วนที่ 2 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2544 จำนวน 123,174,000 บาท อันเป็นการจ่ายเงินชดเชยตามสัญญาจ้างแรงงานส่วนที่เหลือทั้งหมดซึ่งเงินชดเชยในส่วนที่ 2 นี้จำเลยในฐานะประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ มีหน้าที่จัดการในนามบริษัทโจทก์ให้มีการหักเงินรายได้ในส่วนนี้เป็นภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพื่อนำส่งกรมสรรพากร แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ดำเนินการ เป็นเหตุให้จำเลยได้รับเงินส่วนที่เป็นภาษีหัก ณ ที่จ่ายเกินไป เป็นเงิน 45,574,380 บาท ต่อมาวันที่ 5 มีนาคม 2545 โจทก์จำต้องชำระภาษีหัก ณ ที่จ่ายแทนจำเลยไปก่อนเพื่อบรรเทาความเสียหายของโจทก์หากกรมสรรพากรตรวจสอบพบในภายหลัง และโจทก์ต้องชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย 4,276,941 บาท นอกจากนี้เมื่อประมาณต้นปี 2544 จำเลยได้รับมอบรถยนต์ประจำตำแหน่งเพื่อการใช้งานในกิจการของโจทก์ เป็นรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับบลิว หมายเลขทะเบียน ภร 767 กรุงเทพฯ ราคา 4,000,000 บาท ซึ่งเป็นของบริษัทโจทก์ จำเลยได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหารและกรรมการเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนรถยนต์คันดังกล่าวแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่คืน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่จำเลยได้รับเกินและให้คืนรถยนต์แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 45ล574,380 บาท นับแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2544 เป็นต้นไป ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,872,920 บาท ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถคันดังกล่าวที่จำเลยคงครอบครองอยู่นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 ในอัตราวันละ 3,000 บาท คิดถึงวันฟ้องจำนวน 128 วัน เป็นเงิน 384,000 บาท และหากจำเลยไม่อาจคืนรถคันดังกล่าวแก่โจทก์ได้ จำเลยต้องชำระเงินจำนวน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ย 47,447,300 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยคืนรถยนต์ ยี่ห้อบีเอ็มดับบลิว หมายเลขทะเบียน ภร 767 กรุงเทพฯ ในสภาพที่ใช้งานได้แก่โจทก์ ค่าขาดประโยชน์จำนวน 384,000 บาท หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคารถยนต์ จำนวน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะลายมือชื่อผู้แต่งทนายความไม่ใช่ลายมือชื่อของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ตราประทับก็ไม่ใช่ตราประทับสำคัญที่โจทก์จดทะเบียนไว้ นายพิสิษฐ เดชไชยยาศักดิ์ จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีในนามของโจทก์จำเลยไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย แต่เป็นหน้าที่ของโจทก์ โจทก์และจำเลยมีสัญญาต่อกันว่ากรณีเงินได้ที่จำเลยรับเงินสุทธิ ไม่ต้องรับผิดชอบในเรื่องภาษี ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ถึงหมายเลข 5 เนื่องจากโจทก์และจำเลยได้ตกลงกันว่า เมื่อโจทก์จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ เปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ จำเลยยอมลงนามในหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานของโจทก์ โจทก์จะจ่ายค่าตอบแทนให้แก่จำเลยเป็นเงินและตกลงโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ภร 767 กรุงเทพฯ ให้แก่จำเลย และทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งอื่นใดต่อกันอีก โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินภาษี รถยนต์หรือชำระราคารถยนต์แทน และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ตามฟ้อง นอกจากนี้ รถยนต์คันดังกล่าวหากนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินวันละ 1,000 บาท และมีมูลค่าไม่เกิน 1,000,000 บาท คำฟ้องของโจทก์ในส่วนเกี่ยวกับค่าภาษีเป็นกรณีต้องด้วยมาตรา 7 (4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 อยู่ในอำนาจการพิจารณาคดีของศาลภาษีอากรกลาง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 และ จ. 26 โจทก์จดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามเอกสารหมาย จ.2 โจทก์มีระเบียบข้อบังคับการทำงานตามเอกสารหมาย จ. 22 จำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2541 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 โจทก์และจำเลยยังได้ทำข้อตกลงการจ่ายโบนัสประจำปี ตามเอกสารหมาย จ.5 ตำแหน่งประธานกรรมการบริหารมีหน้าที่จัดการงานและบริหารของบริษัทโจทก์และบริษัทในเครือ จำเลยยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของโจทก์ช่วงระหว่างปี 2541 ถึงปี 2545 ต่อมาวันที่ 1 กันยายน 2543 โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างและยืนยันสัญญาเดิมตามเอกสารหมาย จ.6 และในวันที่ 9 ตุลาคม 2544 โจทก์และจำเลยได้ทำข้อตกลงการแก้ไขสัญญาตามเอกสารหมาย จ.7 โดยนายพรชัย อธิคมกุลชัย กรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ กระทำการแทนโจทก์ทั้งสองฉบับ สาระสำคัญของสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างและยืนยันสัญญาเดิมตามเอกสารหมาย จ.6 และข้อตกลงการแก้ไขสัญญาตามเอกสารหมาย จ. 7 การจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่จำเลยเนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงการควบคุมกิจการของโจทก์โดยบริษัทเฟิร์ส แปซิฟิค จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโจทก์ขณะนั้น ซึ่งถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ประสบปัญหาการเงิน จึงต้องการขายหุ้นของบริษัทอุตสาหกรรมเครื่องแก้วไทย จำกัด ซึ่งโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นอยู่เกินกว่าร้อยละ 50 อันจะทำให้มีผลกระทบต่อผลกำไรของงบการเงินรวมของบริษัทโจทก์ และมีผลทำให้ผู้บริหารของโจทก์ได้รับค่าตอบแทนพิเศษลดลงด้วย โจทก์และจำเลยจึงได้ทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างและยืนยันสัญญาเดิมตามเอกสารหมาย จ.6 ต่อมาบริษัทเฟิร์ส แปซิฟิค จำกัด เปลี่ยนใจไม่ขายหุ้นของบริษัทอุตสาหกรรมเครื่องแก้วไทย จำกัด โดยจะขายหุ้นของตนในบริษัทโจทก์ จึงมีการทำข้อตกลงแก้ไขสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยเอกสารหมาย จ.7 บริษัทเฟิร์ส แปซิฟิค จำกัด และจำเลยได้มีหนังสือตอบโต้กันเกี่ยวกับการทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างและยืนยันสัญญาเดิมด้วย ตามเอกสารหมาย ล.4 (ตรงกับ จ.6) แผ่นที่ 5 และแผ่นที่ 6 ต่อมาเดือนธันวาคม 2544 ก่อนเปลี่ยนแปลงการควบคุม โจทก์ได้จ่ายเงินค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุม (COC) แก่จำเลยและผู้บริหารอื่น ซึ่งผู้บริหารบางคนเป็นกรรมการของโจทก์ โดยขณะนั้นโจทก์มีกรรมการทั้งหมด 14 คน แต่มีกรรมการเพียง 5 คนที่ได้รับค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุม คือนายประเสริฐ เมฆวัฒนา จำเลย นายสตีเฟ่น อลัน ไวส์แมน นายการณ์ จิตรวิมล และนายพรชัย อธิคมกุลชัย ตามเอกสารหมาย จ.14 และจ.15 โดยไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือภาษีเงินได้ของเงินดังกล่าวทั้งหมด นายพรชัย อธิคมกุลชัย ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งยังได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ในหนังสือความว่า โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องภาษีทั้งหมดเกี่ยวกับเงินค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมที่จำเลยได้รับตามเอกสารหมาย ล.11 นอกจากนี้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2544 โจทก์และจำเลยได้มีการทำหนังสือตกลงเกี่ยวกับการที่จำเลยจะลาออกจากงาน โดยโจทก์ตกลงโอนรถยนต์บีเอ็มดับบลิว หมายเลขทะเบียน ภร 767 กรุงเทพฯ ให้แก่จำเลย และจำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆ กับบริษัทต่อไป ตามเอกสารหมาย ล.9 หนังสือดังกล่าวนายพรชัย อธิคมกุลชัย กรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของโจทก์เป็นผู้ลงนามและประทับตราสำคัญของโจทก์กระทำการแทนโจทก์ ต่อมาปลายเดือนธันวาคม 2544 บริษัทนครชื่น จำกัด ได้ตกลงซื้อหุ้นของโจทก์จากบริษัทเฟิร์ส แปซิฟิค จำกัด และเข้ามาเป็นผู้บริหาร ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทโจทก์ ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 5 เมื่อบริษัทนครชื่น จำกัด เข้ามาบริหารบริษัทโจทก์ โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างฉบับใหม่กับจำเลยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2544 ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.19 ต่อมาจำเลยต้องการลาออกจากงาน วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 โจทก์และจำเลยจึงได้ทำสัญญาบอกเลิกสัญญาจ้างต่อกัน โดยจำเลยสัญญาจะไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดจากบริษัทโจทก์ ตามสัญญาว่าจ้างผู้บริหารและโจทก์ยืนยันไม่ติดใจฟ้องร้องหรือเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลย เว้นแต่ในการกระทำฉ้อโกงหรือกระทำผิดกฎหมายอาญา และยืนยันจะรับผิดชอบในบรรดาหนี้ภาษีอากรของจำเลยตามสัญญาว่าจ้างผู้บริหารและสัญญาจ้างก่อนหน้านี้ที่สิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม 2544 ตามสัญญาบอกเลิกเอกสารหมาย ล.12 โดยนายสมโภชน์ โกสุม กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อแต่ไม่มีตราสำคัญของโจทก์ประทับ นับตั้งแต่จำเลยเข้าทำงานกับโจทก์ปี 2541 จนถึงโจทก์และจำเลยทำสัญญาบอกเลิกสัญญาจ้างต่อกัน การจ่ายเงินเดือน โบนัส ค่าตอบแทนพิเศษค่าชดเชยตามกฎหมายและเงินชดเชยตามสัญญาจ้าง โจทก์ได้หักภาษี ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้ของเงินได้บุคคลธรรมดาเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.15 ภายหลังจากที่บริษัทนครชื่น จำกัด เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโจทก์ โจทก์ได้ชำระเงินภาษีเงินได้ของค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมที่จำเลยและผู้บริหารชุดเดิมได้รับไปตามเอกสารหมาย จ.15 ให้แก่กรมสรรพากรแล้ว และเรียกเงินคืนจากจำเลยและผู้บริหารดังกล่าว ผู้บริหารทุกคนได้คืนเงินภาษีดังกล่าวให้แก่โจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.21 แต่จำเลยไม่ยอมคืน
โจทก์อุทธรณ์ประการแรกว่า ตามเอกสารสัญญาว่าจ้างหมาย จ.2 ถึง จ.7 (ที่ ถูก จ.4 ถึงจ.7) หรือเอกสารหมาย ล.2 ถึงล.5 ไม่มีข้อตกลงในเรื่องโจทก์ต้องรับภาระภาษีแทนจำเลยจากการจ่ายค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมนอกเหนือจากเงินโบนัสเมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเอกสารหมาย ล.11 เป็นข้อตกลงว่า โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบในภาษีให้แก่จำเลยเพียงคนเดียว จึงเป็นการขัดกับเอกสารสัญญาจ้างหมาย จ.2 ถึง จ.7 (ที่ถูก จ.4 ถึง จ.7) หรือเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.5 และศาลแรงงานกลางแปลความตามเอกสารหมาย ล.11 คลาดเคลื่อน แม้จะมีถ้อยคำว่าโจทก์จะต้องรับผิดในเงินภาษีใด ๆ แทนจำเลย แต่ไม่มีผลผูกพันโจทก์เพราะไม่มีข้อตกลงตามสัญญาเอกสารหมาย ล.11 จึงเป็นคำรับที่ไม่มีฐานแห่งข้อสัญญาที่โจทก์จะต้องรับผิดนั้น เห็นว่า สาระสำคัญของสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 1 ระบุให้จำเลยดำรงตำแหน่งประธานและเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2541 ข้อ 3 ระบุให้จำเลยได้รับเงินเดือนประจำขั้นต้น 600,000 บาท โดยจำเลยจะต้องชำระภาษีเงินได้ โดยจะมีการประเมินอัตราเงินเดือนดังกล่าวทุกปี ข้อ 4 ระบุให้ลูกจ้างได้รับโบนัสประจำปีตามผลงานข้อ 5 ระบุให้จำเลยมีสิทธิรับเงินชดเชยสูงถึง 200,000 บาท (สุทธิภาษี) ต่อปีในการชำระเงินตามแผนการปลดเกษียณและบำนาญที่จำเลยมีสิทธิได้รับตามความเป็นจริง ข้อ 6 ระบุให้โจทก์จัดหารถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ 320 อี หรือเทียบเท่าพร้อมพนักงานขับรถเพื่อใช้บริการรับส่งจำเลย และข้อ 13 ระบุให้กรณีที่โจทก์ยกเลิกสัญญาหรือมีการเปลี่ยนแปลงการควบคุมบริษัทฯ ตามที่กำหนดตามกฎการจดทะเบียนหลักทรัพย์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้บังคับ จำเลยจะมีสิทธิรับเงินเดือนและโบนัสที่คาดไว้ทันทีตามระยะเวลาการแจ้งยกเลิกสัญญาที่กำหนดไว้ ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 ดังกล่าวระบุให้ลูกจ้างต้องชำระภาษีเงินได้ในเงินเดือนประจำเท่านั้น ในส่วนของเงินชดเชยก็ระบุให้ได้รับโดยสุทธิภาษีในส่วนของโบนัสไม่ได้ระบุภาระในการชำระภาษีไว้ ซึ่งต่อมาโจทก์และจำเลยได้มีข้อตกลงการจ่ายโบนัสประจำปีเอกสารหมาย จ.5 ระบุให้เพิ่มเติมข้อ 4 เดิมของสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 ให้โจทก์ต้องจ่ายโบนัสประจำปีโดยคำนวณภาษีและหักภาษี ณ ที่จ่ายอื่นๆ ของประเทศไทยจากยอดสุทธิ โดยกำหนดโบนัสขั้นต่ำเป็นเงิน 274,000 ดอลลาร์สหรัฐตามข้อตกลงการจ่ายโบนัสประจำปีเอกสารหมาย จ.5 นี้จึงเป็นการระบุเพิ่มเติมสัญญาเดิมให้จำเลยต้องรับภาระทางภาษีจากโบนัสประจำปี ดังนั้นตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 และตามข้อตกลงการจ่ายโบนัสประจำปีเอกสารหมาย จ.5 จึงระบุให้จำเลยมีหน้าที่จ่ายภาษีจากเงินเดือนและโบนัส แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างและยืนยันสัญญาเดิมเอกสารหมาย จ.6 โดยมีสาระสำคัญให้จำเลยได้รับโบนัสประจำปีในรูปของการปันผลกำไรจากรายได้สุทธิรวมของบริษัท และให้ความหมายของการเปลี่ยนแปลงควบคุมไว้ในข้อ 5 และวันที่ 9 ตุลาคม 2544 โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำข้อตกลงแก้ไขสัญญาตามเอกสาร จ. 7 โดยมีสาระสำคัญให้จำเลยมีสิทธิรับเงินเดือนและโบนัสซึ่งขึ้นอยู่กับผลกำไรสุทธิรวมของบริษัทฯ หากมีการยกเลิกการว่าจ้างเรียกว่า “ค่าตอบแทนที่ตกลงไว้” และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการควบคุมหรือบริษัทฯยกเลิกการว่าจ้างหรือยกเลิกสัญญาการว่าจ้าง จำเลยมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่ากำหนดไว้เรียกว่า “การชำระเงินตามการเปลี่ยนแปลงการควบคุม” และระบุในสัญญาข้อ 5 ว่า ข้อตกลงนี้ได้ผ่านการหารือและเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทแล้ว โดยเงินตามการเปลี่ยนแปลงการควบคุมนี้มิได้ระบุในข้อตกลงการแก้ไขสัญญาเอกสารหมาย จ.7 ว่า โจทก์หรือจำเลยจะต้องเป็นผู้ชำระภาษี จึงแตกต่างจากโบนัสประจำปีที่ได้ระบุให้จำเลยต้องรับภาระทางภาษีด้วย ซึ่งศาลแรงงานกลางก็ได้ฟังข้อเท็จจริงว่าเงินค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมตามข้อตกลงการแก้ไขสัญญาเอกสารหมาย จ.7 มิใช่โบนัสประจำปีตามข้อตกลงการจ่ายโบนัสประจำปีเอกสารหมาย จ.5 และนายพรชัย อธิคมกุลชัย กรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของโจทก์ได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ในหนังสือเอกสารหมาย ล.11 ว่าโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องภาษีทั้งหมดเกี่ยวกับเงินค่าตอบแทนการเปลี่ยนการควบคุมที่จำเลยได้รับ จึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยได้จัดทำเอกสารหมาย ล.11 เพิ่มเติมเพื่อระบุให้โจทก์ต้องรับภาระทางภาษีแทนจำเลยจากการจ่ายเงินค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงต่อมาว่า โจทก์ได้ตกลงเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องภาษีทั้งหมดเกี่ยวกับเงินค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมที่จำเลได้รับ และที่วินิจฉัยว่าการที่จำเลยมีคำสั่งให้บริษัทรูเบียอินเวสเม้นท์ จำกัด บริษัทในเครือของโจทก์ที่ฮ่องกงชำระเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ต่างประเทศเพื่อจ่ายค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมจำนวน 123,174,000 บาท โดยไม่ได้สั่งให้หักภาษีเงินได้หรือภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่เป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่เกี่ยวกับการทำงานและข้อตกลงเกี่ยวกับการทำงาน จึงไม่ได้ขัดกับพยานหลักฐานหรือสัญญาว่าจ้างเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.7 (ที่ถูก จ.4 ถึง จ.7) หรือเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.5 ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่า ศาลแปลความเอกสารหมาย ล.11 คลาดเคลื่อนโดยเอกสารหมาย ล.11 จะมีผลผูกพันโจทก์ต่อเมื่อสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.7 มีข้อตกลงให้โจทก์เป็นผู้รับผิดชำระภาษีแทนจำเลยนั้น เห็นว่า ตามเอกสารหมาย ล.11 แปลเป็นภาษาไทยว่า “ตามเอกสารแนบท้าย 1 ตามสัญญาว่าจ้างนายเดวิด นิโคล บริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องภาษีทั้งหมดเกี่ยวกับเงินค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมที่นายเดวิด นิโคล ได้รับ” ตามข้อตกลงดังกล่าวเพียงแต่กล่าวอ้างถึงสัญญาจ้างเดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งตามสัญญาเดิมจะระบุในข้อตกลงการแก้ไขสัญญาเอกสารหมาย จ.7 ที่กำหนดการชำระเงินตามการเปลี่ยนแปลงการควบคุมซึ่งไม่ได้ระบุถึงความรับผิดชอบภาระทางภาษี เอกสารหมาย ล.11 จึงได้ระบุเพิ่มเติมให้โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบทางภาษีโดยอ้างถึงสัญญาจ้างเดิมดังกล่าวหาได้มีความหมายไปถึงว่าเอกสารหมาย ล.11 จะมีผลผูกพันโจทก์ต่อเมื่อสัญญาจ้างเดิมต้องมีข้อตกลงให้โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบภาระทางภาษีแทนจำเลยไม่ เพราะหากมีสัญญาจ้างเดิมระบุให้โจทก์ต้องรับผิดชอบภาระทางภาษีแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำเอกสารหมาย ล.11 ขึ้นอีก ดังนั้นเอกสารหมาย ล.11 จึงมิใช่คำรับที่ไม่มีฐานแห่งข้อสัญญาที่โจทก์จะต้องรับผิดดังที่โจทก์อุทธรณ์แต่ประการใด อุทธรณ์โจทก์ประการแรกนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ประการต่อไปว่า ตามพระราชบัญญัติมหาชน พ.ศ.2535 มาตรา 85 ได้กำหนดให้กรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของบริษัท แต่จำเลยกับนายพรชัยซึ่งเป็นกรรมการบริษัทโจทก์ กลับทำสัญญาให้ประโยชน์ซึ่งกันและกันด้วยการลงนามในสัญญาเปลี่ยนแปลงการควบคุม (COC) โดยจำเลยกระทำในนามโจทก์ให้แก่นายพรชัย ส่วนนายพรชัยกระทำในนามโจทก์ให้แก่จำเลยโดยมีพฤติการณ์ในการปกปิดและนำเงินออกจากบัญชีของโจทก์ไปใช้ประโยชน์ในกลุ่มของจำเลยกับนายพรชัย จึงเป็นพฤติการณ์ที่ไม่สุจริต ไม่ระวังรักษาผลประโยชน์ของโจทก์และขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ทำให้เอกสารหมาย ล.11 ตกเป็นโมฆะ เห็นว่า อุทธรณ์โจทก์ดังกล่าวมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในคำฟ้อง และจำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ โจทก์เพียงแต่กล่าวอ้างในคำแถลงการณ์เปิดคดี จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์อุทธรณ์ประการต่อไปว่า นายพรชัยไม่อยู่ในฐานะที่จะทำสัญญาหรือนิติกรรมแทนโจทก์ และนายพรชัยได้ยืนยันต่อศาลแรงงานกลางว่า หนังสือการเปลี่ยนแปลงการควบคุมและการลาออกเอกสารหมาย ล.9 ไม่มีผลตามกฎหมายด้วยสิบเนื่องมาจากจำเลยได้หลอกลวงฉ้อฉลและไม่มีข้อตกลงที่จะต้องให้รถยนต์ประจำตำแหน่งแก่จำเลย เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า นายพรชัยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ตามข้อบังคับของโจทก์ ได้ลงลายมือและประทับตราสำคัญของโจทก์ในเอกสารหมาย ล.9 ให้แก่จำเลย ที่นายพรชัยเบิกความว่าเหตุที่ยินยอมลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญในเอกสารดังกล่าวเนื่องจากจำเลยบอกว่าตามสัญญาจ้างจำเลยมีสิทธิได้รับยนต์ดังกล่าวเมื่อเลิกสัญญาแต่เมื่อเห็นสัญญาจ้างแล้วไม่มีการระบุว่าโจทก์จะต้องมอบหรือโอนรถยนต์ให้แก่จำเลยนั้นคำเบิกความของนายพรชัยขัดแย้งกับเอกสารของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ ดังนั้นอุทธรณ์โจทก์ข้างต้นจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ต่อไปเป็นประการสุดท้ายว่า เมื่อเอกสารหมาย ล.11 ไม่มีผลผูกพันโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริหารและเป็นผู้จัดการให้มีการจ่ายเงินดังกล่าวจึงมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เมื่อจำเลยไม่หักไว้จึงต้องคืนเงินตามฟ้องแก่โจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อปรากฏตามข้อวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ประการแรกแล้วว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ทำข้อตกลงฉบับใหม่ตามเอกสารหมาย ล.11 โดยให้โจทก์ต้องรับภาระภาษีจากการจ่ายค่าตอบแทนการเปลี่ยนแปลงการควบคุมของจำเลยแล้ว ดังนี้ อุทธรณ์โจทก์ประการนี้จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อุทธรณ์โจทก์สองประการสุดท้ายจึงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายืน