คำพิพากษาฎีกา 2163/51
เกษียณอายุระบุจ่ายเงินชดเชยพิเศษเท่ากับเงินเดือนที่ได้รับ / โดยมิได้ระบุว่า “ค่าจ้าง” จึงหมายถึงเฉพาะเงินเดือนไม่รวมเงินได้อย่างอื่น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2514 ตำแหน่งสุดท้าย คือ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2547 จำเลยออกประกาศ เรื่อง โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด โจทก์ได้สมัครเข้าร่วมโครงการในวันที่ 17 มิถุนายน 2547 โดยโจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยพิเศษหรือเงินค่าตอบแทนจำนวนทั้งสิ้น 24 เดือน แต่ละเดือนโจทก์มีค่าจ้างคือ เงินเดือน 115,340 บาท เงินค่าตำแหน่ง 7,000 บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 7,955 บาท และเงินค่าภาษี 25,080 บาท จำเลยจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้แก่โจทก์โดยจำเลยมิได้นำเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดือนละ 7,955 บาท และเงินค่าภาษีเดือนละ 25,080 บาท มาคำนวณเป็นเงินค่าชดเชยพิเศษ ทำให้โจทก์ได้รับเงินไม่ครบถ้วนยังขาดอยู่ 792,840 บาท นอกจากนั้นจำเลยยังค้างจ่ายโบนัสให้โจทก์ 1.40 เท่าของค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงิน 126,930 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าชดเชยพิเศษให้โจทก์ 792,840 บาท และจ่ายเงินโบนัสให้โจทก์ 126,930 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะถึงวันที่ศาลอ่านคำพิพากษา
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและจำเลยจ่ายเงินตามสิทธิที่โจทก์ควรจะได้รับให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว สำหรับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จำเลยส่งเข้ากองทุนและเงินค่าภาษีที่จำเลยชำระแทนโจทก์ต่อกรมสรรพากรเป็นเงินสวัสดิการที่จำเลยช่วยเหลือโจทก์ ไม่ใช่เงินเดือน ไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชยพิเศษให้แก่โจทก์ ซึ่งประกาศ เรื่อง โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ระบุชัดแจ้งว่าจะจ่ายตามอัตราเงินเดือนปัจจุบันและโจทก์มีสิทธิได้รับจำนวน 22 เดือน แต่จำเลยจ่ายเป็นเงินโบนัสให้อีก 2 เดือน ซึ่งมากกว่าเงินโบนัสที่โจทก์จะได้รับ โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2514 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 115,390 บาท เงินประจำตำแหน่งเดือนละ 7,000 บาท เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนของนายจ้างเดือนละ 7,955 บาท และเงินค่าภาษีเดือนละ 25,080 บาท ต่อมาจำเลยมีประกาศฉบับที่ 8/2547 เรื่อง โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยรับสมัครพนักงานที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ถึง 53 ปี และมีอายุงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการโดยจำเลยจะจ่ายเงินค่าตอบแทนตามอัตราเงินเดือนปัจจุบันและเงินโบนัสตามอัตราเฉลี่ยถึงเดือนกรกฎาคม 2547 ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ และกำหนดอัตราสูงสุดสำหรับพนักงานที่มีอายุงานตั้งแต่ 31 ปีขึ้นไปจะได้รับค่าตอบแทน 22 เดือน โจทก์สมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าวและได้รับเงินจากโครงการดังกล่าวจำนวน 2,937,360 บาท หักภาษี ณ ที่ จ่ายจำนวน 250,954 บาท แล้วเป็นเงินสุทธิจำนวน 2,686,406 บาท ซึ่งเป็นเงินเดือนรวมกับเงินประจำตำแหน่งจำนวน 24 เดือน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยจ่ายเงินค่าตอบแทนจากการเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดแก่โจทก์ครบถ้วนหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ได้นำเงินค่าภาษีและเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จ่ายให้โจทก์ผ่านระบบบัญชีเงินเดือนมารวมเป็นค่าจ้างเพื่อคำนวณจ่ายแก่โจทก์ด้วย ซึ่งเงินค่าภาษีและเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้จำเลยจะจ่ายให้โจทก์ก่อนแล้วจึงจะหักออกไป จึงเป็นค่าจ้างตามกฎหมาย ในส่วนของเงินโบนัสจำเลยก็ยังมิได้จ่ายให้โจทก์ ส่วนของเงินค่าตอบแทนที่เพิ่มจาก 22 เดือน เป็น 24 เดือน นั้น เป็นเงินเพิ่มพิเศษที่จำเลยให้โจทก์ มิใช่เงินโบนัสตามข้อตกลงนั้น เห็นว่า ตามประกาศฉบับที่ 8/2547 เรื่อง โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) เอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.4 ระบุหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าตอบแทนแก่พนักงานที่เข้าร่วมโครงการตามอายุงาน และระบุว่า “บริษัทฯ จะพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนตามอัตราเงินเดือนปัจจุบัน และเงินโบนัสตามอัตราเฉลี่ยถึงเดือนกรกฎาคม 2547” ดังนั้น ค่าตอบแทนดังกล่าวจึงต้องพิจารณาคำนวณจากเงินเดือนปัจจุบันตามอายุงานที่กำหนดไว้ เมื่อหลักเกณฑ์ในประกาศดังกล่าวระบุถึงเพียงเงินเดือนปัจจุบัน มิได้ระบุให้นำเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเงินค่าภาษีมารวมคำนวณเป็นค่าตอบแทนและมิได้ระบุให้นำ “ค่าจ้าง” มาคำนวณเป็นเงินค่าตอบแทน ดังนั้น ไม่ว่าเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเงินค่าภาษีที่จำเลยจ่ายแก่โจทก์จะเป็นค่าจ้างหรือไม่ ก็ไม่มีผลให้จำเลยต้องจ่ายค่าตอบแทนตามหลักเกณฑ์ในประกาศดังกล่าวเพิ่มแก่โจทก์ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเงินค่าภาษีเป็นค่าจ้างหรือไม่ และเมื่อจำเลยนำเงินเดือนอัตราสุดท้ายและเงินประจำตำแหน่งของโจทก์อันเป็นเงินเดือนปัจจุบันขณะเข้าร่วมโครงการคำนวณจ่ายเป็นค่าตอบแทนแก่โจทก์จึงชอบด้วยหลักเกณฑ์ในประกาศดังกล่าวแล้ว สำหรับเงินโบนัสที่จำเลยต้องจ่ายตามอัตราเฉลี่ยถึงเดือนกรกฎาคม ห2547 ซึ่งศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงจากการที่จำเลยจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษแก่โจทก์มากกว่าบุคคลอื่น 2 เดือน สูงกว่าเงินโบนัสที่โจทก์เรียกร้องจึงฟังว่าจำเลยได้จ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยแถลงรับกันว่า เอกสารที่ทั้งสองฝ่ายอ้างส่งถูกต้อง และแถลงว่าไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่จะนำสืบอีก ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 16 ธันวาคม 2547 ศาลแรงงานกลางจึงตีความจากข้อความในเอกสารที่โจทก์และจำเลยอ้างส่ง คือ ประกาศฉบับที่ 8/2547 เรื่อง โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.4 และใบสมัครโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เอกสารหมาย ล.7 ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามเอกสารดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้รับเงินมากกว่าหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนตามประกาศเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.4 ทั้งยังมีจำนวนเงินที่สูงกว่าเงินโบนัสที่โจทก์เรียกร้อง ดังนั้น การที่ศาลแรงงานกลางตีความถ้อยคำตามเอกสารดังกล่าวจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น