คำพิพากษาฎีกา 2109/51
(พรบ.ประกันสังคม ม.56) ขอรับเงินประโยชน์ทดแทน กรณีชราภาพเกิน 1 ปี นับแต่วันมีสิทธิ์ได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทชัมย์ประกันภัย จำกัด (ที่ถูกน่าจะะเป็นบริษัทชับบ์ประกันภัย จำกัด) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2536 และสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2545 ขณะอายุ 60 ปี โจทก์ส่งเงินสมทบกรณีชราภาพมาแล้ว 38 เดือน ต่อมาวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพต่อสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 สำนักงานประกันสังคมเขตพิ้นที่ 7 มีคำสั่งประโยชน์ทดแทนว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพกรณีความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดเนื่องจากยื่นคำขอรับประโยชน์เกิน 1 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่าให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ไม่เห็นชอบด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์เนื่องจากโจทก์ไม่ทราบว่าจะต้องขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพภายใน 1 ปี เพราะโจทก์ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายจึงทำให้ไม่ได้ไปรับประโยชน์ทดแทนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทน ทั้งสำนักงานประกันสังคมก็มิได้แจ้งให้โจทก์ไปขอรับเงินตามสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงยังคงมีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพจากจำเลยขอให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 และคำวินิจฉัยคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 42/2547 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2547 และให้จำเลยจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพมาแล้ว 38 เดือน ต่อมาโจทก์สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2545 ขณะที่โจทก์มีอายุ 60 ปี โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 77 ทวิ วรรคสอง ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ.2542) ข้อ 6 (2) และโจทก์ต้องยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพภายในกำหนด 1 ปี ตามมาตรา 56 แต่โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 ล่วงเลยเวลาที่กฎหมายกำหนด และโจทก์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ คำสั่งและคำวินิจฉัยของจำเลยชอบด้วยกฎหมายถูกต้องเป็นธรรมแก่โจทก์ทุกประการแล้ว ไม่มีเหตุต้องยกเลิกเพิกถอน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งประโยชน์ทดแทนของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 42/2547 ตามฟ้อง กับให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2537 ให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทชัมย์ประกันภัย จำกัด (ที่ถูกน่าจะเป็นบริษัทชับบ์ประกันภัย จำกัด) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2546 (ที่ถูก 2536) และสิ้นสุดสภาพการเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2545 เนื่องจากเกษียณอายุเพราะมีอายุครบ 60 ปี และส่งเงินสมทบกรณีชราภาพมาแล้ว 38 เดือน ต่อมาวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพต่อสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 7 มีคำสั่งประโยชน์ทดแทนว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพกรณีความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงเนื่องจากยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนเกินระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนโจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยที่ 42/2547 ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไม่ทราบถึงสิทธิของตนในเรื่องการขอรับประโยชน์ทดแทนว่าจะต้องขอรับภายใน 1 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิ จึงมิได้ใช้สิทธิภายในเวลาที่กำหนด หลังจากทราบถึงสิทธิดังกล่าวจากเพื่อนแล้วโจทก์รีบมายื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนหลังจากวันที่ทราบเพียง 6 วัน
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพเกินกำหนดเวลา 1 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง โจทก์มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพหรือเงินบำเหน็จชราภาพหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดเห็นว่าตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 54 และประสงค์จะขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น ให้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนต่อสำนักงานตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนดภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น และให้เลขาธิการหรือผู้ซึ่งเลขาธิการมอบหมายพิจารณาสั่งการโดยเร็ว” วรรคสอง บัญญัติว่า “ประโยชน์ทดแทนตามวรรคหนึ่งที่เป็นตัวเงิน ถ้าผู้ประกันตนหรือบุคคลซึ่งมีสิทธิไม่มารับภายในสองปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักงาน ให้เงินนั้นตกเป็นของกองทุน” จะเห็นได้ว่าแม้ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง จะบัญญัติให้ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนและประสงค์จะขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น ให้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายหนึ่งปีนับแต่วันทึ่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น ให้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนนั้น แต่ก็มิได้บัญญัติว่า หากผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนไม่ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนแล้วจะมีผลทำให้สิทธิที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนระงับสิ้นไปดังนั้น การยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายในหนึ่งปีจึงเป็นกำหนดระยะเวลาเร่งรัดให้ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนใช้สิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนโดยเร็วเท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติตัดสิทธิและไม่ใช่ขั้นตอนและวิธีการที่ต้องปฏิบัติก่อนจึงจะดำเนินการในศาลแรงงานได้แต่อย่างใด กรณีที่ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนจะเสียสิทธิการได้รับประโยชน์ทดแทน จะต้องเป็นไปตามมาตรา 56 วรรคสอง กล่าวคือผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนและสำนักงานประกันสังคมได้พิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ยื่นคำขอมีสิทธิได้รับ แล้วแจ้งให้ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนมารับประโยชน์ทดแทนที่เป็นตัวเงินดังกล่าวแต่ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิไม่มารับภายในสองปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานประกันสังคม ประโยชน์ทดแทนที่เป็นตัวเงินนั้นจึงจะตกเป็นของกองทุน ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 84 ทวิ ได้กำหนดทางแก้หากผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาตามมาตรา 56 ได้เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิทธินั้น เห็นว่า มาตรา 84 ทวิ เป็นกรณีที่ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนซึ่งทราบถึงสิทธิและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ไปดำเนินการขอรับสิทธิแล้ว แต่ตนมิได้อยู่ในประเทศไทยหรืออยู่ในประเทศไทยแต่มีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถไปดำเนินการขอรับสิทธิตามกำหนดเวลานั้นได้ จึงยื่นคำร้องขอเลื่อนกำหนดเวลายื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนตามมาตรา 56 ออกไปเพื่อรักษาประโยชน์ของตนเท่านั้น มิใช่บทบัญญัติตัดสิทธิแต่อย่าใด ดังนั้น แม้โจทก์จะยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนต่อสำนักงานประกันสังคมเกินหนึ่งปีนับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนนั้นตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง ก็ไม่ถูกตัดสิทธิที่จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพคำพิพากษาศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน