คำพิพากษาฎีกา 4710/51
ถีบประตูโรงงานมิใช่ความผิดร้ายแรง ไม่ถือเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย เป็นเพียงกระทำการอันไม่เหมาะสม เลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 248 นางสาวจิราพร สอนพรหม ลูกจ้างโจทก์ได้ใช้เท้าถีบประตูโรงงานเป็นเหตุให้ประตูเคลื่อน โดยจงใจทำให้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเสียหาย โจทก์จึงเลิกจ้างนางสาวจิราพร ต่อมานางสาวจิราพรได้ร้องต่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยได้มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดหวัดสมุทรปราการที่ 112/2548 ว่าการกระทำของนางสาวจิราพรยังไม่เป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย 16,200 บาท แก่นางสาวจิราพร คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบเพราะนางสาวจิราพรเคยกระทำความผิดอื่นที่โจทก์เคยตักเตือนเป็นหนังสือแล้วและการใช้เท้าถีบประตูโรงงานเป็นการจงใจทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการที่ 112/2548
จำเลยให้การว่า เหตุที่นางสาวจิราพร สอนพรหม ใช้เท้าถีบประตูโรงงานเพราะในขณะนั้นมีบุคคลภายนอกจะเข้าไปในบริเวณโรงงานแต่ประตูโรงงานฝืดทำให้เปิดไม่ได้ นางสาวจิราพรจึงใช้เท้าถีบประตูทำให้ที่ล็อกประตูเคลื่อนการกระทำดังกล่าวเป็นแต่เพียงการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ แต่ยังไม่ถึงกับเป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานจึงมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย 16,200 บาท แก่นางสาวจิราพร คำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการที่ 112/2548 ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า นางสาวจิราพร สอนพรหม เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2546 เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2546 ตำแหน่งพนักงานแคปซูลได้รับค่าจ้างเป็นรายวันโดยได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 180 บาท โจทก์มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระหว่างนางสาวจิราพรทำงานให้แก่โจทก์ โจทก์เคยมีหนังสือตักเตือนนางสาวจิราพร เกี่ยวกับเรื่องลงลายมือชื่อทำงานแทนกัน ต่อมาในวันที่ 10 มกราคม 2548 เวลา 12 นาฬิกาเศษ หลังจากรับประทานอาหารนอกโรงงานเสร็จ นางสาวจิราพร ได้เปิดประตูโรงงานแต่เปิดไม่ออกเพราะประตูโรงงานฝืด เมื่อพยายามเปิดแล้วเปิดไม่ออกจึงเกิดโมโหใช้เท้าถีบประตูโรงงานให้เปิดออก โจทก์จึงได้มีหนังสือเลิกจ้างนางสาวจิราพรเนื่องจากถีบประตูโรงงานจนเกิดความเสียหาย หลังจากนั้นนางสาวจิราพรได้ไปยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานซึ่งจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานได้สอบสวนแล้วมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย 16,200 บาท ให้แก่นางสาวจิราพรตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดหวัดสมุทรปราการที่ 112/2548 แล้ววินิจฉัยว่า นางสาวจิราพรกระทำไปโดยไม่ได้คาดคิดว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประตูอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เสียหายแก่โจทก์แต่ไม่ร้ายแรง จึงมิได้จงใจทำให้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างเสียหายและการกระทำครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดอย่างเดียวกันกับที่โจทก์เคยมีหนังสือเตือน จึงมิใช่การกระทำผิดซ้ำคำเตือนที่โจทก์จะเลิกจ้างนางสาวจิราพรโดยไม่จ่ายค่าชดเชย คำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดหวัดสมุทรปราการที่ 112/2548 ชอบแล้ว
โจทก์อุทธรณ์ประการเดียวว่า โจทก์ได้นำสืบข้อเท็จจริงอันแสดงถึงเจตนาในใจของนางสาวจิราพรที่ว่าในวันรุ่งขึ้นนางสาวจิราพรไปทำงานแล้วพูดกับนางชลอซึ่งเป็นยามเฝ้าประตูด้วยท่าทางยักไหล่ว่า จะเอาอีกไหม แต่ศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยพฤติกรรมดังกล่าว และศาลแรงงานกลางมิได้พิจารณาว่าการที่นางสาวจิราพร ถีบประตูโรงงานเกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่การงานของนางสาวจิราพรหรือไม่ เพราะนางสาวจิราพรทำงานตำแหน่งพนักงานแคปซูลมีหน้าที่บรรจุยา ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับประตู หากประตูฝืดหรือเปิดไม่ออกก็เป็นหน้าที่ของยามเฝ้าประตูเป็นผู้รับผิดชอบ ศาลแรงงานกลางมิได้หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยซึ่งหากหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยจะสามารถปรับข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ว่าเป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่า นางสาวจิราพรจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์