สหภาพฯบุก คมนาคมจี้รื้อแผนขายหุ้นบินไทย ชัจจ์ รับปากยื่นนายกฯทบทวน
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือ สรส. รวมพลคัดค้านแปรรูป "ปตท.- บินไทย" ห่วงทำคนไทยใช้น้ำมันแพงขึ้น ขณะที่ รมช.คมนาคม พร้อมเสนอให้ นายกฯปู ทบทวน ด้าน ผู้ว่าการ ธปท.ระบุการโยกหุ้น2หน่วยงานให้ "กองทุนวายุภักดิ์" ถือหุ้นแทน ขัดหลักธรรมาภิบาล ปกปิดข้อมูลแท้จริง ขณะที่ กรุงเทพโพล เผย ประชาชน 77 % ไม่เห็นด้วยขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ เชื่อมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง
ที่ กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส) พร้อมตัวแทน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กว่า 30 คน ยื่นหนังสือต่อ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม เพื่อคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจคือ ปตท. กับ การบินไทย ด้วยการให้ กระทรวงการคลัง ลดการถือหุ้นลงเพื่อให้ทั้งสองแห่งพ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ โดย สรส.ย้ำว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว และในการยื่นหนังสือครั้งนี้มี พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม ออกมารับรับสือแทน
นายสาวิทย์ กล่าวว่า ปตท.ถือเป็นรัฐวิสาหกิจเป็นกลไกหนึ่งของรัฐที่จะช่วยควบคุมราคาค่าเชื้อเพลิงหรือค่าบริการต่างๆ รวมไปถึงจะช่วยเป็นกลไกหนึ่งของรัฐในการให้บริการประชาชน ดังนั้นสหภาพฯจะเดินหน้ายื่นหนังสือต่อ นายกิติรัตน์ ณ ระนองรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นอกจากนี้จะยื่นหนังสือต่อ รมว.พลังงาน ด้วย
"ที่ผ่านมารัฐบาลต้องการที่จะลดสัดส่วนหนี้สินสาธารณะลง จึงหาแนวทางต่างๆเพื่อช่วงแบ่งเบาภาระหนี้สิน รวมทั้งมีการเสนอมาตราการขายหุ้นรัฐวิสาหิจทั้ง 2 แห่งออกมา " นายสาวิทย์ กล่าว
ด้าน นางแจ่มศรี สุกโชติรัตน์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมา การบินไทย ถือเป็นสายการบินแห่งชาติ เป็นความภาคภูมิใจของประเทศ ซึ่งรัฐควรจะส่งเสริมให้การบินไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้นซึ่งปัจจุบันการแข่งขันของสายการบินนั้นค่อนข้างมีการแข่งขันกันสูงมาก ซึ่งในการแปรรูปนั้นไม่ได้มีการศึกษาถึงความเหมาะสม และผลกระทบว่าการบินจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้ามีผลการศึกษานั้นออกมาว่าการแปรรูปนั้นจะช่วยให้องค์การพัฒนาขึ้นก็ควรจะมีการพูดคุยกัน ทางพนักงานก็มีความพร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการแปรรูป ทั้งนี้หากแปรรูปทำให้พนักงานไม่มีความมั่นใจในความมั่นคงว่า การงานจะเป็นเช่นเดิมหรือไม่
ด้าน พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม กล่าวว่า รมว.คมนาคม ได้มอบหมายให้ตนมารับหนังสือแทน โดยชี้แจงสหภาพฯไปว่า ตนไม่ได้กำกับดูแล และไม่มีมีความรู้ในเรื่องของการแปรรูป การบินไทย มากนัก ซึ่งตนเองก็เห็นว่าการดำเนินการแปรรูปควรจะมีศึกษาความเหมาะสมนอกจากนี้เท่าที่ทราบสาเหตุในการที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้ง2แห่งมาจากรัฐบาลต้องการเงินงบประมาณไปฟื้นฟู และป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดในอนาคต ทำให้มีแนวคิดในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้ง2แห่ง แต่ก่อนจะดำเนินการจะต้องมีความรอบครอบ และต้องมีการพูดคุยกับพนักงานให้มีความเข้าใจด้วย โดยหลังจากได้รับหนังสือแล้วจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอกับ รมว.คมนาคมต่อไป
นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้า จะหารือกับนส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสม ในเบื้องต้นเห็นว่า ถ้าข้อมูลยังไม่ชัดเจน การกระทำอะไรที่กระทบคนหมู่มาก รัฐบาลไม่ควรเดินหน้าต่อ
ด้าน นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า ไม่เห็นกับการที่ กระทรวงการคลัง มีแนวคิดที่จะขายหุ้นปตท.และ การบินไทย เพื่อหนี้สาธารณะลดลงเพราะ การให้กองทุนวายุภักดิ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลกำกับอีกหน่วยงานหนึ่งถือหุ้นแทน ก็เท่ากับเป็นการไม่เปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล ขณะที่ที่ผ่านมารัฐบาลรณรงค์ส่งเสริมให้บริษัทเอกชนเปิดเผยข้อมูล ดังนั้นภาครัฐควรทำเป็นตัวอย่าง
ทางด้าน ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพล)เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 1,160 คน พบว่า ประชาชนถึงร้อยละ 77.0 ไม่เห็นด้วย กับแนวคิดเรื่องการขายหุ้น ปตท.2%ให้กับ กองทุนวายุภักษ์ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัท ปตท. พ้นจากสถานะการเป็นรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ร้อยละ 23.0 ระบุว่าเห็นด้วย
เมื่อถามต่อว่าแนวคิดการขายหุ้น ปตท. ดังกล่าวมีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองหรือไม่ประชาชนร้อยละ 51.7 เชื่อว่ามีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง และร้อยละ 8.8 ไม่เชื่อว่าจะมีว่าระซ่อนเร้นทางการเมือง ในขณะที่ร้อยละ 39.5 ระบุว่าไม่แน่ใจ
"ส่วนเรื่องที่ประชาชนเป็นห่วงและวิตก กังวลมากที่สุดหากมีการขายหุ้น ปตท. ให้กับกองทุนวายุภักษ์จริงคือ กลัวว่าประชาชนจะต้องรับภาระเรื่องค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นในอนาคต ร้อยละ 44.1 รองลงมาคือ จะทำให้กลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เข้ามาแสวงหาผลกำไรโดยยึดผลกำไรสูงสุดของผู้ถือหุ้นเป็นที่ตั้งร้อยละ 19.6 และกลัวว่าอาจมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ร้อยละ 11.6"
ทั้ง นี้เมื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบผลดีและผลเสียถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน จากการแปรรูป ปตท. พบว่าร้อยละ 66.8 เชื่อว่าจะเป็นผลเสียต่อประชาชนโดยรวม (โดยราคาพลังงานประเภท น้ำมัน ก๊าช อาจจะสูงขึ้น) มีเพียงร้อยละ 9.2 ที่เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อประชาชน (โดยราคาพลังงานประเภท น้ำมัน ก๊าซ อาจจะถูกลง) และร้อยละ 24.0 เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบ (โดยราคาพลังงานขึ้นอยู่กับตลาดโลกอยู่แล้ว)
ทั้งนี้เมื่อ ถามถึงสถานะ ของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ควรเป็นแบบใด ร้อยละ 62.6 ระบุว่าควรเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐสามารถกำกับดูแลได้เหมือนในปัจจุบัน รองลงมาร้อยละ 28.0 ระบุว่าให้ยึดคืนกลับไปเป็นของรัฐแต่เพียงผู้เดียว และร้อยละ 9.4 ระบุว่า ควรเป็นของเอกชนเต็มตัว