คำพิพากษาฎีกา 3193 - 3194/51
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เกี่ยวกับโบนัส มีผลใช้บังคับกับพนักงานที่เข้างานในภายหลังได้และตกลงจ่ายโบนัสโดยไม่มีเงื่อนไข นายจ้างจึงต้องรับผิดชอบจ่ายโบนัสตามข้อตกลง
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 เรียกโจทก์สำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 ตำแหน่งสุดท้ายคือรองผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรม ได้รับค่าจ้างเดือนละ 40,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน โจทก์ที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2544 ตำแหน่งสุดท้ายคือผู้จัดการแผนกสปินนิง ได้รับค่าจ้างเดือนละ 35,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างว่าจำเลยจะจ่ายโบนัสให้แก่โจทก์ทั้งสองปีละไม่ต่ำกว่าเงินเดือน 2 เดือน แต่จำเลยไม่จ่ายโบนัสให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสัญญาในปี 2545 และปี 2546 ขอบังคับให้จำเลยจ่ายโบนัสให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 160,000 บาท และจ่ายโบนัสให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การเป็นอย่างเดียวกันว่า โจทก์ที่ 1 กระทำผิดในระหว่างการทำงานโดยในวันที่ 28 และวันที่ 30 ธันวาคม 2545 โจทก์ที่ 1 หยุดงานโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยหรือผู้กระทำการแทนของจำเลยทราบ เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว โจทก์ที่ 2 กระทำผิดต่อข้อบังคับในการทำงานโดยในเดือนมีนาคม 2545 โจทก์ที่ 2 ตอกบัตรเข้าทำงานและละทิ้งหน้าที่ออกไปนอกโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และในวันที่ 7 พฤษภาคม 2545 โจทก์ที่ 2 ได้ละทิ้งหน้าที่โดยให้พนักงานคนอื่นทำงานแทน ต่อมาวันที่ 30 ธันวาคม 2545 โจทก์ที่ 2 หยุดงานโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ เป็นการกระทำผิดข้อบังคับในการทำงานซึ่งจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับโบนัสในปี 2545 และปี 2546 การตกลงจะให้โบนัสนั้นเป็นการตกลงด้วยวาจาและในสภาพที่จำเลยจะต้องประกอบกิจการโดยมีกำไร เมื่อจำเลยประสบภาวะขาดทุน จำเลยจึงไม่จำต้องจ่ายโบนัสให้แก่โจทก์ทั้งสองและพนักงานคนอื่น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระโบนัสสำหรับการดำเนินงานในปี 2545 และในปี 2546 จำนวน 160,000 บาท และจำนวน 140,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 28 ธันวาคม 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2539 สหภาพแรงงานผู้บริหารระดับกลางบริษัทนครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ จำกัด (มหาชน) กับจำเลยทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ทั้งสองเป็นสมาชิกสหภาพดังกล่าว หลังจากนั้นไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอีก วันที่ 2 มกราคม 2546 จำเลยมีหนังสือให้โจทก์ที่ 1 ชี้แจงเหตุที่ไม่มาปฏิบัติงานในวันที่ 2 มกราคม 2546 หลังจากครบวันหยุด 4 วันแล้ว ตามเอกสารหมาย ล.1 หรือ ล.11 โจทก์ที่ 2 ได้กระทำผิดตามเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.7 หรือ ล.12 ถึง ล.17 วันที่ 25 เมษายน 2544 จำเลยทำหนังสือชี้แจงเรื่องการจ่ายโบนัสตามเอกสารหมาย ล.8 ในปี 2544 ถึงปี 2546 จำเลยขาดทุนมาโดยตลอดตามเอกสารหมาย ล.18 ถึง ล.20 แล้ววินิจฉัยว่าแม้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.2 จะทำในปี 2539 แต่หลังจากนั้นไม่มีการบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอีกจึงถือว่าข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างใหม่ เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.2 เกิดจากการเรียกร้องจึงต้องห้ามมิให้นายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่าตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 20 ถึงแม้ว่าโจทก์ทั้งสองจะเป็นลูกจ้างจำเลยในปี 2544 สภาพการจ้างต้องเป็นไปตามข้อตกลงดังกล่าว ตามข้อ 6.1 ในเอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า พนักงานที่ทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี จะได้รับโบนัสจำนวน 60 วัน โดยไม่มีเงื่อนไขว่าจำเลยต้องมีกำไรจากการประกอบการและไม่มีเงื่อนไขว่าหากพนักงานคนใดทำผิดข้อบังคับจนจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วจะไม่ได้รับโบนัส เพียงแต่มีข้อความว่าหากพนักงานคนใดหยุดงานเกิน 15 วัน ให้นำวันลาที่เกิน 15 วัน ไปหักโบนัสตามสัดส่วนวันลาเท่านั้น แม้จะฟังว่าโจทก์ทั้งสองทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานจนจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วและในปี 2544 ถึงปี 2546 จำเลยประกอบการขาดทุนมาโดยตลอดก็ตาม จำเลยไม่สามารถยกมาเป็นเหตุอ้างไม่จ่ายโบนัสแกโจทก์ทั้งสองได้ที่จำเลยอุทธรณ์สรุปได้ว่า ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการกระทำความผิดในข้อ 6.1 ไม่ถูกต้อง เพราะตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 5 ระบุว่า การประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีให้เป็นไปตามกฎระเบียบของบริษัท เมื่อโจทก์ทั้งสองกระทำความผิดตามกฎระเบียบของจำเลยแล้ว จำเลยสามารถนำกฎระเบียบของจำเลยมาพิจารณาไม่จ่ายโบนัสแก่โจทก์ทั้งสองได้ อีกทั้งปี 2544 ถึงปี 2546 จำเลยขาดทุนมาโดยตลอดคำพิพากษาศาลแรงงานกลางจึงขัดต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 48 ที่บัญญัติว่า การพิจารณาคดีแรงงานให้ศาลแรงงานคำนึงถึงฐานะแห่งกิจการของนายจ้างประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดให้เป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่ายด้วยนั้น เห็นว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 6 ระบุว่า การจ่ายโบนัส นายจ้างตกลงที่จะจ่ายโบนัสโดยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 6.1 พนักงานที่ทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี จะได้รับโบนัสจำนวน 60 วัน หากพนักงานหยุดงานเกิน 15 วัน ให้นำวันที่ลาเกิน 15 วัน มาหักโบนัสตามสัดส่วนวันลา ทั้งนี้ไม่รวมกับวันลาป่วยที่เกิดจากการทำงานให้นายจ้าง ลากิจพิเศษ ลาคลอด ลารับราชการทหารหรือการเจ็บป่วยที่ถึงขั้นต้องนอนพักรักษาตัวตามคำสั่งแพทย์หรือกรณีเจ็บป่วยโดยเหตุจากการปฏิบัติในหน้าที่ภารกิจใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท โดยอัตราการจ่ายโบนัสต่ำสุดหลังจากหักวันลาแล้วจะต้องไม่น้อยกว่า 45 วัน ดังนั้นข้อตกลงในการจ่ายโบนัสมิได้มีข้อความใดระบุไว้เลยว่าถ้าถูกจ้างทำผิดกฎระเบียบของจำเลยหรือกิจการของจำเลยขาดทุนแล้ว จำเลยไม่ต้องจ่ายโบนัส สำหรับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างข้อ 5 ระบุไว้แต่เพียงว่า การประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีให้เป็นไปตามกฎระเบียบของบริษัท ก็เป็นกรณีการประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกจ้างให้เป็นไปตามกฎระเบียบของจำเลยเท่านั้น มิได้ระบุว่าไว้เลยว่าให้นำกฎระเบียบของจำเลยมาพิจารณาในการจ่ายโบนัสตามที่จำเลยอ้าง ส่วนกรณีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 48 ก็เป็นบทบัญญัติในเรื่องการพิจารณาคดีแรงงานให้ศาลแรงงานคำนึงถึงสถานการณ์ต่างๆ รวมทั้งฐานะแห่งกิจการของนายจ้างประกอบการพิจารณานั้น ก็เพื่อให้การดำเนินคดีแรงงานควรเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว ประหยัด เสมอภาคและเป็นธรรมเพื่อให้คู่ความมีโอกาสประนีประนอมยอมความและสามารถกลับไปทำงานร่วมกันได้โดยไม่เกิดความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรต่อกัน จึงต้องยกเว้นขั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหลายกรณี อีกทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวในมาตรา 48 ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดี ดังนั้นในคดีนี้แม้จำเลยจะขาดทุน คำพิพากษาศาลแรงงานกลางก็ไม่ขัดต่อมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระโบนัสประจำปีพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน