คำพิพากษาฎีกา 2164/2551
ลาออกเองโดยสมัครใจมิใช่บังคับข่มขู่ ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริการทางการเงินส่วนบุคคล ฝ่ายธุรกิจกิจการสาขาและบริการการขาย ได้รับค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 18,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2548 โจทก์ได้เขียนใบลาออกโดยถูกจำเลยบังคับข่มขู่ให้ออก บอกว่าจะให้ทำงานอีกตำแหน่ง แต่ยังไม่ได้ทำ โจทก์ไม่สมัครใจที่จะเขียนใบลาออก โจทก์จึงถือว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยที่โจทก์ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายโจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี โจทก์มีสิทธิได้ค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 54,000 บาท และมีสิทธิได้สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 36 วัน เป็นเงิน 21,600 บาท แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 21,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายค่าชดเชยจำนวน 54,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 จำเลยได้จ้างโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งสุดท้ายคือ เจ้าหน้าที่บริการทางการเงินส่วนบุคคล มีหน้าที่ขายสินเชื่อและให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกบริการทางการเงินที่เหมาะสมต่อความต้องการ โดยมีสถานที่ทำงานคือ ธนาคารจำเลย สาขาย่อยห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาหลักสี่ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2548 โจทก์ได้เขียนใบลาออกแล้วยื่นต่อจำเลย โดยให้มีผลเป็นการลาออกหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2548 โดยแจ้งแก่ผู้จัดการสาขา ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่าไม่ถนัดทำงานในตำแหน่งที่รับผิดชอบอยู่จึงประสงค์ที่จะลาออก ดังเหตุผลที่โจทก์ระบุไว้ในใบลาออกของโจทก์ว่า ต้องการทำงานที่แข่งขันกับตัวเอง ชอบและถนัด Direct Sale มากกว่า จำเลยไม่เคยบังคับให้โจทก์ลาออก อีกทั้งไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ลาออก จำเลยจะให้โจทก์ทำงานในตำแหน่งอื่น ดังนั้น การที่โจทก์ลาออกจึงเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของโจทก์ ไม่ใช่เป็นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์สมัครใจลาออกเองโดยที่โจทก์มิได้ถูกบังคับข่มขู่ให้เขียนใบลาออก และไม่มีการให้คำมั่นสัญญาว่าเมื่อโจทก์ลาออกแล้วจำเลยจะรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขายตรงอิสระหรือ Direct Sale ที่โจทก์อุทธรณ์โดยสรุปว่า โจทก์มิได้สมัครใจเขียนใบลาออกแต่เป็นเพราะผู้จัดการของจำเลยให้คำมั่นสัญญาว่าจะรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขายตรงอิสระ โดยอ้างถึงคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยรับฟังมานั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและรายการแห่งคดีนั้นล้วนเป็นการอุทธรณ์เพื่อให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นต่างจากที่ศาลแรงงานกลางฟังมา จึงเป็นอุทธรณ์เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์