คำพิพากษาฎีกาที่ 1012- 1013/2551
ขาดงานละทิ้งหน้าที่ มิใช่เพราะเหตุเปลี่ยนแปลงโยกย้ายหน้าที่ไม่มาปฏิบัติงานโดยไม่มีเหตุอันสมควรเลิกจ้างได้
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 เรียกโจทก์สำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องจำเลยเป็นใจความว่า เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2545 จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายโจทก์ที่ 1 ทำหน้าที่นายเรือหรือกัปตันเรือ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 70,000 บาท ส่วนโจทก์ที่ 2 ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ต้นหน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 32,000 บาท จำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างประมาณวันที่ 5 ของเดือน ครั้นวันที่ 24 พฤศจิกายน 2546 จำเลยสั่งให้โจทก์ทั้งสองไปทำงานกับบริษัทแมน เอ ไลน์ จำกัด โดยโจทก์ทั้งสองไม่ยินยอม ถือได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองมิได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ทำงานกับจำเลยติดต่อกันครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 210,000 บาท และ96,000 บาท ตามลำดับ มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเวลา 43 วัน เป็นเงิน 100,333 บาท และ 45,866 บาท ตามลำดับ นอกจากนั้นจำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงเดือนพฤศจิกายน 2546 อยู่แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเงิน 15,000 บาท ตามลำดับ การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับความเสียหาย ตามลดับ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้าง 15,000 บาท ค่าชดเชย 210,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินค่าจ้างและค่าชดเชยดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 100,333 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 140,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 และจ่ายค่าจ้าง 36,000 บาท ค่าชดเชย 96,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินค่าจ้างและค่าชดเชยดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า จำเลยไม่เคยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง โจทก์ที่ 1 ออกเรือในตำแหน่งกัปตันเรือชื่อ ชินารีโอ ส่วนโจทก์ที่ 2 ทำหน้าที่ต้นเรือและโจทก์ทั้งสองมีปัญหากับลูกเรือและมีความขัดแย้งกับนายอำพล อุดมกุล ผู้ควบคุมเรือดังนั้นเพื่อยุติปัญหาและความขัดแย้งดังกล่าว จำเลยจึงตกลงยอมให้โจทก์ที่ 1 ไปเป็นกัปตันเรือชื่อ แมน เอ เพ็ญ ต้า โดยให้มีอำนาจหน้าที่และสิทธิประโยชน์เหมือนเดิมและยังเป็นพนักงานของจำเลยอยู่ ซึ่งจำเลยมีอำนาจที่จะกระทำได้ตามหนังสือมอบอำนาจการบริหารระหว่างบริษัทจำเลยและบริษัทดังกล่าวนี้ และโจทก์ที่ 1 ก็ยินยอมโดยและได้ลงเรือในตำแหน่งกัปตันเรือ แมน เอ เพ็ญ ต้า เที่ยวแรกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2546 และเที่ยวที่ 2 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2547 และนับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2547 โจทก์ที่ 1 ก็มิได้ทำงานให้จำเลยเพื่อเตรียมรอลงเรืออีกจนกระทั่งนายชัยวัตรแจ้งให้มารายงานตัวกับจำเลย แต่โจทก์ที่ 1 ก็มิได้มารายงานตัวตามคำสั่งการกระทำของโจทก์ที่ 1 จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายโดยต้องหากัปตันเรือใหม่มาแทน และต้องเลื่อนการออกเรือไปเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ส่วนโจทก์ที่ 2 นั้น ก็ยินยอมเข้าประจำเรือแมน เอ เพ็ญ ต้า โดยขึ้นจากเรือลำเดิมประจำบริษัทจำเลยเพื่อรอลงเรือ แมน เอ เพ็ญ ต้า ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2546 และได้ลงเรือ แมน เอ เพ็ญ ต้า เที่ยวแรกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2546 เที่ยวที่ 2 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2547 ส่วนเที่ยวที่ 3 นั้น โจทก์ที่ 2 ขึ้นจากเรือลำดังกล่าวนี้เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2547 แล้วโจทก์ที่ 2 ก็ไม่มารายงานตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในเรือลำดังกล่าวนี้อีกเลยการกระทำของโจทก์ที่ 2 เป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควรและเป็นความผิดร้ายแรงเช่นกัน จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบของจำเลยด้วย ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง จำเลยจึงไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชย หรือค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ให้แก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์ที่ 1 ในฐานะนายเรือหรือกัปตันเรือ แมน เอ เพ็ญ ต้า ก็ยังมีหนังสือขอรายงานการซ่อมทำและขอเบิกของใช้ประจำเรือลำดังกล่าวนี้อยู่ ส่วนการมอบอำนาจการบริหารกิจการระหว่างบริษัทจำเลยกับบริษัท แมน เอ ไลน์ จำกัด ซึ่งถือได้ว่า เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน เพราะมีผู้บริหารและกรรมการชุดเดียวกันก็เป็นเรื่องที่กระทำกันได้ เมื่อคนประจำเรือคนใดเปลี่ยนการเข้าทำงานจากเรือลำเดิมไปเข้าทำงานประจำเรือลำใหม่ แม้เรือทั้งสองลำดังกล่าวนี้จะเป็นของเจ้าของเดียวกันหรือนายจ้างเดียวกัน ก็จะต้องแจ้งการเลิกจ้างจากเรือลำเดิมและแจ้งการจ้างของเรือลำใหม่เพื่อบันทึกลงไว้หนังสือคนประจำเรือดังกล่าวเช่นเดียวกัน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองดังที่โจทก์ทั้งสองฟ้องหลังจากโจทก์ทั้งสองไม่ยอมออกเรือในเที่ยวที่ 3 แล้ว ข้อเท็จจริงยังได้ความอีกว่าฝ่ายจำเลยผู้เป็นนายจ้างก็พยายามติดต่อให้โจทก์ทั้งสองเข้ารายงานตัว ซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ทำหนังสือแจ้งขอลาป่วยต่อนายมานะตลอดมา จำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงหาจำต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า หรือค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งสอง สำหรับค่าจ้างค้างจ่ายที่โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกร้องมานั้น โจทก์ที่ 1 ได้รับเงินเดือนในอัตราเดือนละ 65,000 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับเงินเดือนในอัตราเดือนละ 32,000 บาท ส่วนเงินรายได้อื่นของโจทก์ทั้งสองนั้น ก็ได้ความจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายว่า โจทก์ทั้งสองจะได้รับก็ต่อเมื่อออกเรือในแต่ละเที่ยวเท่านั้น ที่อ้างว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้งสองโดยนำฝากเงินเข้าบัญชีดังกล่าวนั้น ก็มิได้แสดงให้เห็นหรือฟังได้ว่าจำเลยยังคงติดค้างค่าจ้างอยู่แก่โจทก์ทั้งสองตามที่ฟ้องเรียกร้องมา เมื่อจำเลยปฏิเสธข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยติดค้างค่าจ้างอยู่แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยจึงหาจำต้องจ่ายค่าจ้างค้างพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์ทั้งสองตามที่ฟ้อง
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง