คำพิพากษาฎีกาที่ 3191/2551
ทุจริตต่อหน้าที่ , เลิกจ้างแล้ว , มาทำงานต่อไม่มีสิทธิได้ค่าจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 29 มกราคม 2516 จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำงานที่โรงงานปูนซีเมนต์นครหลวง จังหวัดสระบุรี ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจรับเอเอฟอาร์ ฝ่ายพัฒนาพลังงาน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 36,365 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2546 จำเลยมีหนังสือไล่โจทก์ออกจากงาน อ้างว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่นำน้ำมันใช้แล้วไปขายให้แก่บุคคลภายนอก มีผลตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง วันที่ 3 กรกฎาคม 2546 จำเลยมีหนังสือแจ้งผลอุทธรณ์ยืนยันตามผลการสอบสวนโดยไล่ออกและไม่จ่ายค่าชดเชย โจทก์ไม่ได้กระทำความผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่ได้บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า โจทก์ทำงานติดต่อกันมาเป็นเวลา 30 ปีเศษ มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน เป็นเงิน 363,650 บาท มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 71,518 บาท โจทก์ขอค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 15,000,000 บาท และจำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2546 ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 เป็นเงิน 13,334 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
10 มิถุนายน 2546 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยตรวจสอบพบว่านายไพรวัลย์ ปองดอง พนักงานเอเอฟอาร์ ฝ่ายพัฒนาพลังงานของจำเลยร่วมกับพนักงานขับรถขนส่งน้ำมันจากบริษัทผู้ขายซึ่งนำมาส่งให้แก่จำเลยกำลังลักลอบถ่ายน้ำมันใช้แล้วไปยังรถขนน้ำมันอีกคันหนึ่งเพื่อจำหน่ายแก่บุคคลภายนอก จากการสอบสวนนายไพรวัลย์รับว่าสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ และโจทก์ก็ยอมรับว่ามีส่วนรู้เห็นพฤติกรรมดังกล่าวของนายไพรวัลย์และได้รับส่วนแบ่งจากการลักลอบถ่ายน้ำมันทุกครั้ง การกระทำของโจทก์เป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ ทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลย จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทั้งยังเป็นการกระทำอันฝ่าฝืนต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีร้ายแรงด้วย การเลิกจ้างของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามฟ้อง เมื่อจำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างหลังจากวันเลิกจ้างแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลาง พิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบและข้อเท็จจริงที่แถลงรับร่วมกันแล้วฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2516
ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจรับเอเอฟอาร์ ฝ่ายพัฒนาพลังงาน มีหน้าที่ดูแลควบคุมการตรวจรับ การตรวจสอบคุณภาพน้ำมันใช้แล้ว ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 36,365 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน จำเลยประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ และรับซื้อน้ำมันใช้แล้วจากบริษัทเอส ซี เอส ออยล์ จำกัด มีสัญญาซื้อขายโดยบริษัท เอส ซี เอส ออยล์ จำกัด เป็นผู้บรรทุกขนส่งน้ำมันใช้แล้วให้แก่จำเลย ในการทำงานเมื่อรถบรรทุกขนส่งน้ำมันใช้แล้วมาถึงโรงงานมีการตรวจสอบคุณภาพและชั่งน้ำหนักของน้ำมัน โดยพนักงานขับรถบรรทุกของผู้รับเหมาขนส่งขับรถเข้าไปที่ลานตรวจรับและนำเอกสารไปยื่นที่แผนกตรวจเอกสาร จากนั้นโจทก์หรือนายไพรวัลย์ ปองดอง พนักงานตรวจรับเอเอฟอาร์ อีกคนหนึ่งนำเอกสารไปที่แผนกตรวจสอบคุณภาพนั้ามัน หากตรวจสอบแล้วผ่านก็ลงบันทึกรับผลการตรวจสอบนำผลการตรวจสอบไปยังหน่วยประสานงานกับโรงงาน จากนั้นหมดหน้าที่ของโจทก์หรือของนายไพรวัลย์ พนักงานขับรถบรรทุกขับรถไปชั่งน้ำหนักรถรวมกับน้ำหนักน้ำมันใช้แล้วเป็นการชั่งน้ำหนักครั้งแรก แล้วขับรถไปยังโรงงานหมายเลข 1 เพื่อถ่ายน้ำมันลงในภาชนะที่จำเลยจัดเตรียมไว้ เมื่อถ่ายเสร็จก็ขับรถกลับมาชั่งน้ำหนักอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทราบน้ำหนักของรถบรรทุก และนำน้ำหนักที่ชั่งได้ครั้งหลักหักออกจากน้ำหนักที่ชั่งได้ครั้งแรก เหลือจำนวนเท่าใดเป็นน้ำหนักสุทธิของน้ำมันใช้แล้วที่จำเลยต้องชำระราคาให้แก่บริษัทผู้ขาย ก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยได้รับแจ้งจากพนักงานขับรถบรรทุกขนส่งน้ำมันว่ามีพนักงานของจำเลยลักลอบนำน้ำมันไปขายให้แก่บุคคลภายนอก จำเลยจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทำการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2546 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ พนักงานขับรถบรรทุกขับรถบรรทุกเลขทะเบียน รย 81-7706 ระยอง มาส่งน้ำมันใช้แล้วให้จำเลย โดยขับเข้าลานตรวจรับเวลา 11 นาฬิกา มีการตรวจเอกสารตามระเบียบโจทก์นำเอกสารไปตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเวลา 11.15 นาฬิกา รับผลการตรวจเวลา 15 นาฬิกา และโจทก์นำผลไปส่งให้หน่วยประสานงานกับโรงงานและได้มีการอนุมัติให้ลงน้ำมันได้เวลา 15.10 นาฬิกา จากนั้นโจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่อื่นของโจทก์นายศศิพงษ์ แก้วหราย พร้อมกับดาบตำรวจนิราศ แปลงมาลย์ และสิบตำรวจโทชูศักดิ์ ธนะแสวง เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจอำเภอแก่งคอย เห็นนายไพรวัลย์กำลังลักลอบถ่ายน้ำมันจากรถบรรทุกดังกล่าวไปที่รถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ขก 82-2939 ขอนแก่น ซึ่งเป็นรถบรรทุกแอลกอฮอล์มาส่งให้จำเลย โจทก์ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุขณะที่มีการลักน้ำมันใช้แล้ว นายศศิพงษ์ นายธนิต ปุลิเวคินทร์ และนายนฤนัย แสนพล ร่วมกันสอบปากคำนายไพรวัลย์ นายไพรวัลย์ให้การพาดพิงถึงโจทก์ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย จึงมีการสอบสวนโจทก์และบันทึกถ้อยคำโจทก์ไว้ ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าลงลายมือชื่อในบันทึกการสอบสวนดังกล่าวไว้จริง แต่อ้างว่าลงลายมือชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความ เจ้าพนักงานตำรวจบันทักเหตุการณ์ไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนทำรายงานผลการสอบสวนเสนอรองประธานอาวุโสซึ่งเป็นผู้บริหารของจำเลยสรุปความว่านายไพรวัลย์และโจทก์ได้ร่วมกันกระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่ลักน้ำมันใช้แล้วของจำเลยไปขายให้แก่บุคคลภายนอก จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย วันที่ 17 มิถุนายน 2546 จำเลยจึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ลักทรัพย์ของจำเลยไปขายให้แก่บุคคลภายนอก จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย มีผลตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2548 เป็นต้นไป โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ กับมีประกาศห้ามโจทก์และนายไพรวัลย์เข้าบริเวณโรงงาน จำเลยมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัยโจทก์มีหนังสืออุทธรณ์ร้องขอความเป็นธรรมไปยังรองประธานอาวุโสของจำเลย ผู้บริหารของจำเลยพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์แล้วยืนตามผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน รายละเอียดปรากฎตามเอกสารหมาย จล.1 ถึง จล.17 และจ.5 แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุนายไพรวัลย์ว่าจ้างพนักงานขับรถบรรทุกลักลอบถ่ายเทน้ำมันใช้แล้วจากรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน รย 81-7706 ระยอง ไปยังรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 82-2939 ขอนแก่นโจทก์ร่วมรู้เห็นและปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ให้นายไพรวัลย์ลักน้ำมันใช้แล้วไปขายให้แก่บุคคลภายนอก โจทก์มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจรับเอเอฟอาร์ ฝ่ายพัฒนาพลังงานมีหน้าที่ดูแลควบคุมการตรวจรับและการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันใช้แล้วที่พนักงานขับรถบรรทุกขนส่งมา การที่นายไพรวัลย์เจ้าหน้าที่ตรวจรับเอเอฟอาร์อีกคนหนึ่งลักลอบถ่ายน้ำมันใช้แล้วจากรถบรรทุกขนส่งน้ำมันไปยังรถบรรทุกขนส่งแอลกอฮอล์ ณ บริเวณลานตรวจรับ ซึ่งอยู่ในจุดหน้าที่รับผิดชอบของโจทก์โดยโจทก์ร่วมรู้เห็นและปล่อยปละละเลยให้นายไพรวัลย์ลักน้ำมันใช้แล้วไปขายให้แก่บุคคลภายนอกทั้งได้รับเงินส่วนแบ่งจากาการขายน้ำมันใช้แล้วจากนายไพรวัลย์ด้วย ถือได้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ร่วมลักน้ำมันใช้แล้วไปขายให้แก่บุคคลภายนอก เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยและจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ปัญหาที่ว่าน้ำมันที่ถูกลักจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้วหรือไม่ตามที่โจทก์เบิกความอ้างว่ามีการลักถ่ายเทน้ำมันใช้แล้วก่อนที่จะมีการชั่งน้ำหนักรวมและน้ำหนักรถเปล่า จึงไม่ใช่ประเด็น จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยมีหนังสือบอกเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานจึงเป็นอันสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2546 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างนับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2546 ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2546
ที่โจทก์อุทธรณ์สรุปความได้ว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่น่าเชื่อถือและยังรับฟังไม่ได้ว่าในวันเกิดเหตุนายไพรวัลย์ได้ว่าจ้างพนักงานขับรถบรรทุกทำการถ่ายน้ำมันใช้แล้วจากรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน รย 81-7706 ระยอง ไปยังรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 82-2939 ขอนแก่น ทั้งยังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมรู้เห็นและปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ให้นายไพรวัลย์ลักน้ำมันใช้แล้วไปขายแล้วรับเงินส่วนแบ่งจากนายไพรวัลย์อันจะถือได้ว่าโจทก์กระทำทุจริตต่อหน้าที่ลักเอาน้ำมันใช้แล้วไปขายให้แก่บุคคลภายนอก บริษัท เอส ซี เอส ออยล์ จำกัด เป็นเพียงผู้ขนส่งมิใช่ผู้ขายน้ำมันใช้แล้วให้แก่จำเลยโดยอ้างเหตุผลต่างๆ นั้น อุทธรณ์ดังกล่าวล้วนเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คณะกรรมการสอบสวนโจทก์มีด้วยกันสามคน แต่ขณะสอบสวนมีนายศศิพงษ์ทำหน้าที่อยู่เพียงคนเดียว การสอบสวนโจทก์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่าคดีนี้ศาลแรงงานกลางพิจารณาจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งหมดที่นำสืบต่อศาลและข้อเท็จที่คู่ความแถลงรับกันแล้ว จึงวินิจฉัยว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ร่วมลักน้ำมันใช้แล้วไปขายให้แก่บุคคลภายนอก เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยและจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง มิได้พิจารณาเฉพาะจากรายงานการสอบสวนแต่เพียงอย่างเดียว เมื่อพยานหลักฐานในสำนวนทั้งหมดฟังข้อเท็จจริงได้เช่นนี้แล้ว การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่จำเลยแต่งตั้งจะชอบหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควร ได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำความผิดโดยไม่วินิจฉัยไปถึงว่าน้ำมันใช้แล้วที่ถูกลักตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้วหรือไม่เป็นการไม่ชอบ เพราะหากมิใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลย จำเลยก็มิใช่ผู้เสียหายที่จะกล่าวหาโจทก์ แต่ผู้เสียหายที่แท้จริงคือเจ้าของน้ำมันนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นนายจ้างของโจทก์ เมื่อมีการลักลอบถ่ายน้ำมันใช้แล้ว ณ สถานประกอบกิจการของจำเลยในบริเวณที่โจทก์รับผิดชอบ จำเลยย่อมแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าโจทก์ร่วมรู้เห็นและปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำดังกล่าว ทั้งได้รับเงินส่วนแบ่งจากการขายน้ำมันใช้แล้วจากนายไพรวัลย์ การกระทำของโจทก์เป็นการคดโกง ไม่ซื่อตรง ซึ่งเป็นการกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ มีโทษทางวินัยถึงขั้นไล่ออกตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยว่าด้วยวินัยและโทษทางวินัยเอกสารหมาย จล.13 ข้อ 2.5 จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้ ศาลแรงงานกลางจึงไม่จำต้องวินิจฉัยไปถึงว่าน้ำมันใช้แล้วตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้วหรือไม่ เพราะการกระทำของโจทก์จะเป็นการกระทำผิดอาญาต่อจำเลยหรือโจรกรรมทรัพย์สินขอ
จำเลยหรือไม่ก็ไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลง อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์อุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า แม้จำเลยจะมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป แต่โจทก์คงมาทำงานให้จำเลยตามปกติ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างช่วงระหว่างวันที่ 18 มิถุนายน 2546 ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 ให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2546 นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานย่อมสิ้นสุดลงนับแต่วันดังกล่าว ทั้งจำเลยยังมีคำสั่งห้ามโจทก์เข้าบริเวณโรงงานตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไปตามเอกสารหมาย จล.12 อีกด้วย ดังนั้น แม้หากโจทก์จะยังคงเข้ามาทำงานให้จำเลยก็เป็นกรณีที่โจทก์กระทำไปเองตามอำเภอใจ ไม่ก่อให้เกิดหนี้ค่าจ้างที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน