ขึ้นราคาแอลพีจีทำพิษอุตฯเซรามิกชักแถวปิดตัว แรงงาน2.5หมื่นคนเดือดร้อนวอนรัฐบาลช่วยเหลือด่วน!
อุตฯเซรามิกชักแถวปิดกิจการหลังรัฐบาลเดินหน้าขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม ขณะที่บางส่วนปิดรับออเดอร์ตั้งแต่เดือน ตุลาคม เหตุต้นทุนสูงแข่งขันลำบาก เปิดช่อง เซรามิกจีนบุกตลาดไทยง่ายขึ้นอีก เตรียมเข้าพบรมว.พลังงาน เพื่อขอให้ชะลอการปรับราคา ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน
นายเจน นำชัยศิริ รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เซรามิกเริ่มทยอยปิดกิจการไปแล้วหลังจาก ที่รัฐบาลมีนโยบายปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ไปแล้ว 2 ครั้ง รวมเป็น 6 บาท ต่อกิโลกรัม(กก.) ทำให้ราคาก๊าซขยับไปอยู่ที่ 24.13 บาทต่อกก. เพราะก๊าซแอลพีจี ถือเป็นต้นทุน การผลิต สัดส่วนราว 30-40% ส่วนอุตสาหกรรม แก้วและกระจก ขณะนี้ได้รับผลกระทบ อย่างมาก หากบริษัทจะต้องปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นอย่างก๊าซธรรมชาติ ก็จะต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 10-20 ล้านบาท
นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตเซรามิก ที่ปรับตัวสูงขึ้นยังเป็นการเปิดโอกาสให้สินค้า จากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดไทยได้ง่ายขึ้น จากปัจจุบันที่มีเข้ามามากอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการเซรามิกของไทยแข่งขัน ไม่ได้ โดยราคาก๊าซแอลพีจีที่ปรับขึ้นไป 2 ไตรมาส จากราคา 18.13 บาทต่อกก. เป็น 24.13 บาท ต่อกก. ทำให้ต้นทุนพุ่งขึ้นมาก
"หากรัฐบาลเดินหน้าปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมในไตรมาส 3 อีก 3 บาทต่อกก. โดยมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2555 ก็จะทำให้อุตสาหกรรมเซรามิกอยู่ไม่รอด เพราะตอนนี้รายที่รู้ตัวว่าทำธุรกิจไม่รอดก็หยุด กิจการไปแล้ว เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้นทำให้ เราไม่สามารถแข่งขัน กับประเทศอื่นได้ และ ต้นทุนที่สูงขึ้นยังเปิด โอกาสให้เซรามิกจาก จีนเข้ามาทำตลาดในบ้านเราง่ายขึ้นด้วย" นายเจน กล่าว
ด้านนายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองเลขาธิการ สอท. กล่าวในทำนองเดียวกัน ว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกเริ่มไม่รับคำสั่งซื้อ(ออเดอร์) สินค้าตั้งแต่เดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาล ขยับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมเป็นครั้งที่ 2 โดยแต่ละครั้งที่ปรับขึ้น 3 บาทต่อกก. ต้นทุนของผู้ประกอบการจะเพิ่ม 15% และหากปรับครบ 4 ครั้ง ต้นทุนรวมจะพุ่งถึง 60% ขณะที่ต้นทุนรวมการผลิตเซรามิกปรับขึ้นไปแล้ว 5%
"ที่เป็นห่วงคือ ผู้ประกอบการที่ใช้ก๊าซแอลพีจีถังเบาท์อาจจะอยู่ไม่รอด เพราะไม่ได้รับการยกเว้นในการปรับขึ้นราคา โดยกลุ่มนี้เป็นผู้ผลิตเซรามิกรายใหญ่มีอยู่ประมาณ 10 ราย แต่ละรายก็มีแรงงานกว่า 100 คน ขึ้นไป หากธุรกิจไปไม่รอดก็จะกระทบให้คนตกงานได้ ส่วนคนที่เปลี่ยนมาใช้ถังหลอดขนาด 15 กิโลกรัม เรียงกัน 20 ถัง ก็ยัง อยู่รอดได้" นายอิศเรศ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สอท.อยู่ระหว่างนัดหารือกันายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน เพื่อขอให้มีการชะลอการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไปมากกว่านี้
ด้านนายอำนาจ ยะโส เลขาธิการกลุ่ม อุตสาหกรรมเซรามิก สอท.กล่าวว่า หากรัฐบาลยังเดินหน้าขยับราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมวันที่ 1 มกราคม 2555 ซึ่งเป็น การขยับขึ้นไตรมาส 3 จะทำให้ราคาปรับเพิ่ม เป็น 9 บาทต่อกก.ก็จะยิ่งซ้ำเติมอุตสาหกรรม เซรามิกเป็น 3 เด้ง คือ 1.ต้นทุนแอลพีจีพุ่ง 2.เผชิญปัญหาค่าแรงที่จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน จากนโยบายรัฐบาล และ 3.ค่าขนส่ง ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่จะให้ปรับราคาเชื้อเพลิงทุกประเภทขึ้นทั้งก๊าซแอลพีจี ก๊าซธรรมชาติ สำหรับรถยนต์(เอ็นจีวี) น้ำมันดีเซล เป็นต้น ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มอุตสาหกรรม เซรามิกสร้างมูลค่าส่งออกให้ประเทศกว่า 10,000 ล้านบาท หากต้นทุนก๊าซขึ้นจะกระทบผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ที่จะ เดือดร้อนและปิดกิจการ ทำให้แรงงานตกงาน กว่า 25,000 คน และเมื่อรวมกลุ่มแก้ว กระจก อาจสูงกว่า 40,000 คน