คำพิพากษาฎีกา 8589/2551
เลิกจ้างตามพรบ.คุ้มครองแรงงาน ม.118 ต้องเป็นกรณีนายจ้างไม่ให้เข้าทำงานและไม่จ่ายค่าจ้างโดยเด็ดขาดการห้ามมิให้เข้าโรงงานแต่ให้นั่งรอยังไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2546 จำเลยได้รับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งแม่บ้าน เป็นลูกจ้างรายวัน ได้รับค่าจ้างวันละ 175 บาท มีกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 10 และวันที่ 25 ของทุกเดือน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยที่โจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยมาเป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจำนวน 90 วัน เป็นเงิน 15,750 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2548 ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 จำนวน 16 วัน เป็นเงิน 2,800 บาท และจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันที่ 2 ถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2548 อีกจำนวน 4 วัน เป็นเงิน 700 บาท การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 50,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 16 วัน เป็นเงิน 2,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ค่าจ้าง 700 บาท ค่าชดเชย 15,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ทุก 7 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าเสียหายอันเกิดจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 50,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยยังไม่ได้เลิกจ้างโจทก์และในวันเดียวกันจำเลยได้ให้โจทก์เข้าทำงานแล้ว แต่โจทก์ไม่เข้าทำงานเอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและตามข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2546 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นแม่บ้านมีกำหนดเวลาทำงานตั้งแต่ 7 นาฬิกา ถึง 16 นาฬิกา ได้รับค่าจ้างวันละ 175 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 10 และวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม 2548 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา นายลู่ ซาน ไฮ กรรมการบริษัทจำเลยบอกนางสาวปทุมทิพย์ โคลงพิมาย ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลให้แจ้งโจทก์ทำความสะอาดภายในโรงงานเนื่องจากจะมีลูกค้าดูงานที่โรงงานในวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 นางสาวปทุมทิพย์จึงโทรศัพท์บอกให้นางสายแดน บุตรเพชร พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประจำอยู่ที่ป้อมบริเวณทางเข้าโรงงานทราบ เพื่อแจ้งโจทก์ให้ทราบว่าจะต้องทำงานต่อหลังกำหนดเลิกงานตามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาประมาณ 16 นาฬิกา โจทก์ได้ไปที่ป้อมบริเวณทางเข้าโรงงานเพื่อบันทึกเวลาเลิกงานในบัตรเวลาทำงาน นางสายแดนจึงแจ้งให้โจทก์กลับไปทำงานล่วงเวลา แต่โจทก์บอกนางสายแดนว่าบ้านอยู่ไกลไม่พร้อมที่จะทำและไม่ได้บอกให้โจทก์ทราบล่วงหน้าก่อนว่าจะต้องทำงานล่วงเวลา จากนั้นโจทก์ก็เดินทางกลับบ้านโดยไม่ได้ทำงานต่อตามที่นางสายแดนแจ้งให้ทราบ ต่อมานายลู่ ซาน ไฮ ทราบว่าโจทก์ไม่ได้ทำงานตามคำสั่งจึงได้บอกนางสายแดนว่า ในวันรุ่งขึ้นอย่าให้โจทก์เข้าโรงงานแต่ให้รออยู่ที่ป้อมบริเวณทางเข้าโรงงานก่อน และนายลู่ ซาน ไฮ ได้บอกให้นางสาวนวพร อื้อศรีชัย ผู้จัดการฝ่ายสำนักงานทราบด้วย นางสาวนวพรจึงบอกนางสายแดนให้เก็บบัตรบันทึกเวลาทำงานของโจทก์ไว้ก่อน ต่อมาวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 เวลาประมาณ 6.40 นาฬิกา โจทก์ไปถึงที่โรงงาน นางสายแดนให้โจทก์รออยู่ที่ป้อม โจทก์ขอเข้าไปในโรงงานเพื่อนั่งรอที่ทำงานของเข้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล แต่นางสายแดนกับพนักงานรักษาความปลอดภัยชายชื่อนายเจษณรงค์ (ไม่ทราบนามสกุล) ห้ามมิให้โจทก์เข้าไป โจทก์จึงขอเข้าไปเก็บของใช้ส่วนตัวภายในโรงงาน แต่นายเจษณรงค์ ก็ไม่ให้โจทก์เข้าไป โจทก์จึงออกไปนอกโรงงานแล้วกลับเข้าไปอีกครั้งในเวลาประมาณ 8 นาฬิกา นางสายแดนกับนายเจษณรงค์ยังคงให้โจทก์รออยู่ที่ป้อม แล้วนางสายแดนได้โทรศัพท์ไปที่ห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล 2 ครั้ง แต่ยังคงแจ้งให้โจทก์รออยู่เช่นเดิม โจทก์รออยู่จนเวลาประมาณ 8.40 นาฬิกา จึงได้ไปปรึกษาพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร จากนั้นเวลาประมาณ 16 นาฬิกา โจทก์ได้กลับไปที่โรงงานพบนางสุพรรณี ผิวอ่อน หัวหน้าฝ่ายบุคคล นางสุพรรณีขอให้โจทก์ทำงานต่อไป แต่โจทก์ไม่ตกลง แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการที่นางสายแดนแจ้งให้โจทก์ทำงานล่วงเวลา แต่โจทก์ไม่ทำนั้นไม่เป็นการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และการที่นายลู่ ซาน ไฮ สั่งห้ามมิให้โจทก์เข้าทำงานและเก็บบัตรบันทึกเวลาทำงานของโจทก์ไว้ เป็นการเลิกจ้างโจทก์ที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 2,625 บาท ค่าชดเชย 15,750 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ่ต่อปี จากต้นเงิน 2,625 บาท ร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 15,750 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 12 พฤษภาคม 2548) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยประการเดียวว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่าการที่นายลู่ ซาน ไฮ สั่งให้นางสายแดนพนักงานรักษาความปลอดภัยเก็บบัตรบันทึกเวลาทำงานของโจทก์ไว้และให้โจทก์รออยู่ที่ป้อมยังไม่ใช่กรณีที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ จึงไม่ใช่การเลิกจ้างโจทก์นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้การเลิกจ้างตามมาตรานี้หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใดนั้น จะต้องเป็นการไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไป และไม่จ่ายค่าจ้างให้โดยเด็ดขาดด้วย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างรายวัน ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านทำความสะอาดภายในโรงงานจำเลย ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2548 นายลู่ ซาน ไฮ กรรมการบริษัทจำเลยสั่งให้โจทก์ทำงานหลังสิ้นสุดเวลาทำงานตามปกติ เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งก็ให้พนักงานรักษาความปลอดภัยเก็บบัตรบันทึกเวลาทำงานของโจทก์ไว้และสั่งให้บอกโจทก์รออยู่ที่ป้อมบริเวณหน้าโรงงานในวันที่โจทก์มาทำงาน ต่อมาในวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 โจทก์จะเข้าทำงานในช่วงเช้า แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยยังไม่ให้เข้าโรงงานแต่ให้รออยู่จนเวลา 8.40 นาฬิกา โจทก์จึงออกจากโรงงานไปปรึกษาพนักงานตรวจแรงงาน แล้วกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งในเวลาประมาณ 16 นาฬิกา พบนางสุพรรณี ผิวอ่อน หัวหน้าฝ่ายบุคคล นางสุพรรณีขอให้โจทก์ทำงานต่อไป แต่โจทก์ไม่ตกลงนางสุพรรณีจึงนำใบลาออกมาให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ลงลายมือชื่อในใบลาออกให้นั้น การที่นายลู่ ซาน ไฮ จะแสดงความไม่พอใจต่อโจทก์และมีคำสั่งดังกล่าวซึ่งทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าทำงานในโรงงานตามปกติได้ ก็เพื่อให้โจทก์รออยู่และได้พบกับนายลู่ ซาน ไฮก่อน อันเป็นการใช้อำนาจทางบริหารที่นายจ้างสามารถกระทำได้ แต่ในระหว่างที่โจทก์รออยู่นั้นโจทก์ได้ออกจากโรงงานไปเองโดยยังไม่ได้พบกับนายลู่ ซาน ไฮ กรณีดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่า นายลู่ ซาน ไฮ ได้บอกเลิกจ้างโจทก์หรือมีการกระทำใดที่จะไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้โดยเด็ดขาด จึงไม่ใช่การเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 วรรคสอง และเมื่อจำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด