คำพิพากษาฎีกา 9046/2551
การคำนวณสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2547 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 25,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน มีระยะเวลาทดลองงาน 119 วัน ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายรวม 33 วัน เป็นเงิน 27,499 บาท แต่จำเลยไม่จ่ายให้นอกจากนี้ในระหว่างทำงานจำเลยได้หักค่าจ้างโจทก์ไว้ 2 ครั้ง ครั้งละ 1,000 บาท คือค่าจ้างประจำเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ 2547 รวมเป็นเงิน 2,000 บาท โดยจำเลยอ้างว่าหักไว้เพื่อเป็นเงินประกันการทำงาน แต่เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ขอเงินประกันดังกล่าวคืน แต่จำเลยไม่คืนให้ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 27,499 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้จำเลยคืนเงินประกันการทำงาน 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2546 โจทก์ได้มาสมัครทำงานกับจำเลยในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล จำเลยพิจารณาแล้วให้โจทก์ทดลองงานในตำแหน่งดังกล่าวเป็นเวลา 119 วัน โดยให้ได้รับค่าจ้างอัตราเดือนละ 25,000 บาท และให้เริ่มทดลองงานตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2547 เป็นต้นไป ในระหว่างทดลองงานจำเลยได้ประเมินผลการทำงานของโจทก์ปรากฏว่าการทำงานไม่อยู่ในเกณฑ์การรับเป็นพนักงานของจำเลย แต่จำเลยก็ยังมิได้เลิกจ้างโจทก์ยังคงให้ทดลองทำงานต่อไป แต่โจทก์กลับละทิ้งหน้าที่ไปตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2547 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย การกระทำดังกล่าวของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเนื่องจากโจทก์มิได้บอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างกับจำเลยล่วงหน้า จำเลยจึงมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นจำนวนเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างที่โจทก์ได้รับขอให้ยกฟ้องและให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่จำเลยเป็นเงิน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย และให้ถือเอาเงินประกัน 2,000 บาท เป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ต้องชำระให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2547 นายวิทวัส เตชานุรักษ์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยได้บอกเลิกจ้างโจทก์ทางโทรศัพท์ และหลังจากนั้นนางภาวิการ์ ทองขาวขำ ได้นำใบลาออกของจำเลยมาให้โจทก์เขียนแต่โจทก์ปฏิเสธ ปกติรอบบัญชีเงินเดือนจะตัดทุกวันที่ 25 ของเดือน แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 นางภาวิการ์ ทองขาวขำ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลได้คำนวณค่าจ้างให้โจทก์เต็มเดือนคือค่าจ้างของวันที่ 26 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2547 ให้แก่โจทก์ด้วยแสดงว่าจำเลยมีเจตนาเลิกจ้างโจทก์และจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าโจทก์จึงไม่ต้องมาทำงานกับจำเลยวันที่ 1 มีนาคม 2547 จำเลยจึงไม่มีความเสียหายที่จะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดตามฟ้องแย้งได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 26,666.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และคืนเงินประกันการทำงาน 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 31 มีนาคม 2547) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยข้อ 3 เนื่องจากเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง แล้ว ดังนั้น การที่จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายในข้อ 2 ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยไว้แล้วว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวนเป็นเหตุให้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นก็ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้บรรยายรายละเอียดโดยชัดแจ้งว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนตรงไหนอย่างไร ที่ถูกควรฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และการที่จำเลยเพียงแต่อ้างเหตุผลตามที่กล่าวต่อไปในข้อ 3 นั้น ซึ่งฟังยุติแล้วว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2 จึงถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 3 เท่านั้น หาใช่อุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงไม่และยังเป็นข้ออุทธรณ์ที่ไม่ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนปัญหาอุทธรณ์ของจำเลยข้อที่ 4 ที่ว่า ศาลแรงงานกลางกำหนดให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์จำนวน 32 วัน เป็นเงิน 26,666.66 บาท นั้น ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 หรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2547 ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล ได้รับค่าจ้างอัตราเดือนละ 25,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน และฟังว่าจำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2547 โดยได้จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งเท่ากับจำเลยได้จ่ายค่าจ้างเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังนั้น จำเลยจึงคงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2547 ซึ่งเป็นวันถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 บัญญัติไว้อีกหนึ่งเดือนเป็นเงิน 25,000 บาท เท่านั้น ที่ศาลแรงงานกลางให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์รวม 32 วัน เป็นเงิน 26,666.66 บาท นั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ข้อ 4 ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ 25,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง