ฎีกา 7718/2551
นายจ้างจ่ายเงินเดือนขาด หักค่าจ้างของพนักงานคนอื่นมาเป็นของตนเองโดยพลการ ถือเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้เสร็จลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 ในตำแหน่งพนักงานรักษาความปลอดภัย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 200 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน วันที่ 17 พฤษภาคม 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า และค้างจ่ายค่าจ้างระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2548 และจ่ายค่าจ้างตำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 โดยจำเลยให้โจทก์ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง จึงขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 8,800 บาท ค่าชดเชยจำนวน 48,000 บาท ค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 11,780 บาท และค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของกฎหมายที่ยังขาดอยู่อีกจำนวน 28,498 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าชดเชย และของค่าจ้างค้างจ่ายตามอัตราขั้นต่ำของกฎหมายที่ยังขาดอยู่นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างและฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยกรณีร้ายแรงโดยยักยอกเงินเดือนประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ของพนักงานอื่นซึ่งจำเลยมอบให้โจทก์นำไปจ่ายโดยสุจริต จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าจ้างระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2548 จำเลยมิได้ให้โจทก์ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้หักเวลาพักทำงานวันละ 4 ชั่วโมงออก และจำเลยจ่ายจ่าจ้างแก่โจทก์วันละ 200 บาท เกินกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2541 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านเอื้อสุขแมนชั่นปาร์ค ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 200 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ระหว่างการทำงานจำเลยจัดให้โจทก์มีเวลาทำงานปกติวันละ 12 ชั่วโมงทุกวัน โดยไม่มีเวลาหยุดพักระหว่างการทำงาน ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 โจทก์ได้ไปรับเงินค่าจ้างของโจทก์กับของนายพรชัย บุญเรือน และนายไชยา ศรีบัวลา พนักงานรักษาปลอดภัยประจำหมู่บ้านเอื้อสุขแมนชั่นปาร์คซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ เพื่อนำเงินค่าจ้างส่วนของนายพรชัยและนายไชยาไปมอบให้นายพรชัยและนายไชยาตามปกติ แต่โจทก์เห็นว่าค่าจ้างส่วนของโจทก์นั้นจำเลยไม่ได้จ่ายให้มาด้วย โจทก์จึงหักค่าจ้างส่วนของนายพรชัยและนายไชยาไว้เท่ากับค่าจ้างประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ของโจทก์ แล้วนำค่าจ้างส่วนของนายพรชัยและนายไชยาที่เหลือกลับไปคืนให้นายอนันต์ เตชะณรงค์ ผู้จัดการประจำหมู่บ้านเอื้อสุขแมนชั่นปาร์ค ต่อมาเมื่อนายพรชัยและนายไชยาไม่ได้รับค่าจ้างจึงโทรศัพท์ไปแจ้งและขอรับเงินค่าจ้างจากนายอนันต์หลังจากนั้นโจทก์ยังคงทำงานกับจำเลยต่อมาจนถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 จำเลยจึงได้บอกเลิกจ้างโดยมีผลเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทันที แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์หักเงินค่าจ้างไว้โดยขาดเจตนาทุจริต จึงมิได้กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง และมิได้ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมในกรณีร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าและจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์เดือนเมษายนถึงวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 และจำเลยให้โจทก์ทำงานโดยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานและค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ในปี 2547 ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของกฎหมายวันละ 55 บาท และในปี 2548 ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของกฎหมายวันละ 62.50 บาท จึงพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 63,000 บาท ค่าตอบแทนการทำงานส่วนที่เกินเวลาทำงานปกติ 28,575 บาท ค่าจ้างค้างจ่าย 12,075 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 31 พฤษภาคม 2548) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 11,812.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชย และจำเลยไม่ได้ค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้รับเงินเดือนของเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ไปแล้ว การที่โจทก์นำเงินค่าจ้างในส่วนของนายพรชัย บุญเรือน และนายไชยา ศรีบัวลา ไปเป็นการทุจริตกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง อีกทั้งโจทก์มิได้นำเงินส่วนที่เหลือไปคืนนายอนันต์ เตชะณรงค์ ผู้จัดการหมู่บ้านเอื้อสุขแมนชั่นปาร์คการกระทำของโจทก์จึงเป็นการยักยอกเงินของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้จ่ายค่าจ้างประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 แก่โจทก์ และเมื่อโจทก์หักเงินเดือนของตนไว้แล้วได้นำเงินส่วนที่เหลือไปคืนแก่นายอนันต์ซึ่งเป็นผู้จัดการประจำหมู่บ้านเอื้อสุขแมนชั่นปาร์คโดยไม่ได้เก็บเงินส่วนที่เหลือไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ประการต่อไปว่า การที่นายพรชัยกับนายไชยาเบิกความว่าในเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม 2548 ยังเห็นโจทก์ทำงานอยู่เป็นการขัดแย้งกับหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย ล.5 แผนที่ 2 ที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2548 จึงคลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริง ศาลควรเรียกนายณัฐพล เอื้อวัฒนสกุล มาสอบถาม และการที่ศาลฟังข้อเท็จจริงตามใบลงเวลาเอกสารหมาย ล.2 ว่าโจทก์ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง แล้วกำหนดเงินค่าทำงานให้โจทก์ไม่ถูกต้องกับข้อเท็จจริงและการที่ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 โดยมิได้ทำการไต่สวนให้ได้ความจริงว่า โจทก์มาทำงานจริงตามข้อกล่าวอ้างซึ่งใบลงเวลาตามเอกสารหมาย ล.2 ไม่อาจใช้ยืนยันการทำงานจริงของโจทก์ คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางจึงมิชอบนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังเป็นยุติแล้ว เพื่อให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จแตกต่างไปจากที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับอุทธรณ์จำเลยประการสุดท้ายที่ว่าการที่โจทก์นำเงินค่าจ้างในส่วนของนายพรชัยกับนายไชยาไป จำเลยจึงเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้านั้นเห็นว่า การที่โจทก์รับเงินค่าจ้างของนายพรชัยกับนายไชยาไปจากจำเลย ก็เพื่อนำไปมอบให้กับนายพรชัยกับนายไชยาซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านเอื้อสุขแมนชั่นปาร์คเช่นเดียวกับโจทก์ เมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยไม่ได้จ่ายค่าจ้างประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ในส่วนของโจทก์ โจทก์ก็ควรจะทวงถามเอากับจำเลยโดยตรงการที่โจทก์หักค่าจ้างส่วนของนายพรชัยกับนายไชยาไปเป็นของโจทก์เองโดยพลการแม้จะเป็นการกระทำเพียงเพื่อให้ได้ค่าจ้างในส่วนของโจทก์ แต่ก็ทำให้นายพรชัยกับนายไชยาต้องเสียหาย ไม่ได้รับค่าจ้างตามเวลาที่ควรจะได้ การกระทำของโจทก์จึงเป็นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตซึ่งจำเลยจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง