ฎีกา 9386 - 9420/2551
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับกับพนักงานทุกคนตามพรบ.แรงงานสัมพันธ์ ม.19 เมื่อสหภาพแรงงานมีสมาชิกเกินกว่าสองในสามของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด
คดีทั้งสามสิบห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสามสิบห้าสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 35 ตามลำดับ และเรียกจำเลยทั้งสามสิบห้าสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสามสิบห้าสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องมีใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย เป็นพนักงานรายวัน มีวันเข้าทำงานและตำแหน่งงานตามฟ้องพนักงานของจำเลยได้ร่วมกันจัดตั้งสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ โจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นสมาชิกและโจทก์ที่ 1 เป็นประธานสหภาพแรงงาน เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2547 สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์กับจำเลยร่วมกันจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2547 ถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างข้อ 10 มีข้อความว่า "บริษัทตกลงปรับพนักงานรายวันเป็นพนักงานรายเดือน โดยทั้งนี้สหภาพแรงงานส่งรายชื่อและหลักเกณฑ์การปรับพนักงานรายวันเป็นพนักงานรายเดือนให้บริษัทปรับ ทั้งนี้พนักงานรายเดือนให้มีสิทธิและสถานภาพตามระเบียบของพนักงานรายเดือนที่บริษัทใช้ปฏิบัติอยู่โดยกำหนดจำนวนดังต่อไปนี้
1 มกราคม 2548 จำนวน 200 คน
1 มกราคม 2549 จำนวน 200 คน
1 มกราคม 2550 จำนวน 200 คน
ทั้งนี้การปรับให้คำนวณค่าจ้างรายวันคูณสามสิบเป็นค่าจ้างรายเดือน โดยไม่นำผลประเมินประจำปีมาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณา" ต่อมาสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ได้อาศัยสิทธิตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวคัดเลือกพนักงานรายวันจำนวน 200 คน และจัดส่งรายชื่อให้จำเลยเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จำเลยจะต้องให้พนักงานทั้ง 200 คน ดังกล่าวได้รับสิทธิประโยชน์ในฐานะพนักงานรายเดือนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป แต่ในที่สุดจำเลยปรับพนักงานรายวันให้เป็นพนักงานรายเดือนเพียง 165 คน โจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นพนักงานรายวันที่สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์เสนอให้ปรับเป็นพนักงานรายเดือน แต่จำเลยไม่ปรับให้ ทำให้โจทก์ทั้งสามสิบห้าขาดสิทธิประโยชน์ในฐานะพนักงานรายเดือน ไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์สำหรับเดือนมกราคม 2548 จำนวน 10 วัน และเดือนกุมภาพันธ์ 2548 จำนวน 8 วัน จำเลยต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะ 7 วัน สำหรับค่าจ้างค้างจ่ายด้วย ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติต่อโจทก์ทั้งสามสิบห้าให้ถูกต้องตามข้อลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างข้อ 10 โดยปฏิบัติต่อโจทก์ทั้งสามสิบห้าในสถานภาพพนักงานรายเดือนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นมา และให้โจทก์ทั้งสามสิบห้ามีสิทธิและสถานภาพตามระเบียบของพนักงานรายเดือนที่จำเลยใช้ปฏิบัติอยู่ ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ดอกเบี้ยและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบห้าตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยทั้งสามสิบห้าสำนวนให้การว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกิดจากการยื่นข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ มีผลผูกพันพนักงานของจำเลยทุกคนทั้งที่เป็นสมาชิกและมิได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน สหภาพแรงงานเป็นองค์กรของลูกจ้างที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้างด้วยกัน มิใช่เพื่อตนเองหรือสมาชิกสหภาพแรงงานเท่านั้น ดังนั้น ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างข้อ 10 ที่ตกลงปรับพนักงานรายวันเป็นพนักงานรายเดือนภายในวันที่ 1 มกราคม 2548 จำนวน 200 คน มิใช่กำหนดให้ปรับพนักงานรายวันเฉพาะที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเท่านั้น สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ดำเนินการเสนอปรับพนักงานรายวันเฉพาะที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ไม่มีการเสนอปรับพนักงานที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานโดยไม่คำนึงถึงระเบียบข้อบังคับอื่นใดของจำเลย และไม่คำนึงถึงพนักงานอื่นๆ ที่มิได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานจำเลยจึงได้โต้แย้งถึงความถูกต้องให้สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ทราบ และแจ้งว่าสามารถปรับได้ 165 คน อีก 35 คน ขอให้ปรับพนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งด้านอายุงานและความรู้ความสามารถ แต่สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ยังคงยืนยันให้ปรับเฉพาะพนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ทั้งที่ข้อบังคับใช้แก่พนักงานทั่วไป จำเลยกระทำโดยสุจริตและถูกต้อง ไม่ต้องปรับโจทก์ให้เป็นพนักงานรายเดือน ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายดอกเบี้ยและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยปรับสภาพการจ้างของโจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นพนักงานรายเดือนตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จล.1 กับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์และดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสามสิบห้า ตามตารางท้ายคำพิพากษา พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินค่าจ้างนับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 16 มีนาคม 2548) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสามสิบห้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริง จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และมีโรงงานตั้งอยู่ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี มีพนักงานประมาณ 3,000 คน เป็นพนักงานรายวันประมาณ 2,500 คน ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่โรงงานของจำเลย ลูกจ้างได้จดทะเบียนจัดตั้งสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ โจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นสมาชิกและโจทก์ที่ 1 เป็นประธานสหภาพแรงงาน โจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นพนักงานรายวัน ปฏิบัติงานที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2547 สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ต่อมาสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์และจำเลยจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 16 สิงหาคม 2547 มีข้อตกลงปรับพนักงานรายวันเป็นพนักงานรายเดือน สำหรับปี 2548 ถึง 2550 ปีละ 200 คน ตามเอกสารหมาย จล.1 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2547 สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ส่งรายชื่อพนักงานรายวันจำนวน 200 คน เพื่อให้จำเลยปรับเป็นพนักงานรายเดือนตามเอกสารหมาย จล.2 วันที่ 27 มกราคม 2548 จำเลยมีหนังสือถึงประธานสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ขอให้พิจารณาจากพนักงานที่มีอายุงานมากที่สุดเรียงลำดับลงมาตามเอกสารหมาย จล.3 จำเลยมิได้ปรับพนักงานรายวันเป็นพนักงานรายเดือนตามรายชื่อที่สหภาพแรงงานแจ้งไป สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ได้มีหนังสือถึงสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสระบุรีตามเอกสารหมาย จล.4 มีการเจรจากันที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสระบุรี โดยบันทึกการเจรจาไว้ ตามเอกสารหมาย จล.5 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2548 สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์มีหนังสือถึงจำเลยขอเปลี่ยนแปลงรายชื่อพนักงานรายวันที่ให้ปรับเป็นพนักงานรายเดือน ตามเอกหมาย จล.6 วันที่ 4 มีนาคม 2548 จำเลยมีหนังสือถึงประธานสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์แจ้งว่าได้ดำเนินการปรับพนักงานรายวันเป็นพนักงานรายเดือนจำนวน 165 คน ส่วนที่เหลืออีก 35 คน ซึ่งเป็นโจทก์ทั้งสามสิบห้าในคดีนี้ไม่สามารถปรับให้ได้ ตามเอกสารหมาย จล.7 หากโจทก์ทั้งสามสิบห้ามีสิทธิได้รับการปรับเป็นพนักงานรายเดือนจะมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ตามจำนวนในเอกสารหมาย จล.8 และหากได้รับดอกเบี้ยและเงินเพิ่มจะได้รับตามจำนวนที่ระบุไว้ตามเอกสารหมาย จล.8 เช่นกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์จำเลยว่า จำเลยต้องปรับสภาพการจ้างของโจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นพนักงานรายเดือนตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เอกสารหมาย จล.1 หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวเกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องที่มีลูกจ้างซึ่งทำงานร่วมในการเรียกร้องกับสภาพการจ้างเกินกว่าสองในสามของลูกจ้างทั้งหมด จึงต้องผูกพันนายจ้างและลูกจ้างซึ่งทำงานในกิจการจำเลยทุกคน ข้อตกลงมีผลประโยชน์ต่อลูกจ้างจึงต้องพิจารณาถึงลูกจ้างทุกคน มิใช่เฉพาะแต่เพียงสมาชิกสหภาพแรงงานเท่านั้น เห็นว่าตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 19 วรรคสอง บัญญัติว่า "ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่กระทำโดยนายจ้าง หรือสมาคมนายจ้างกับสหภาพแรงงาน หรือลูกจ้างซึ่งทำงานในกิจการประเภทเดียวกันโดยมีลูกจ้างซึ่งทำงานในกิจการประเภทเดียวกันเป็นสมาชิกหรือร่วมในการเรียกร้องกับสภาพการจ้างเกินกว่าสองในสามของลูกจ้างทั้งหมด ให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นมีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างซึ่งทำงานในกิจการประเภทเดียวกันนั้นทุกคน" บทบัญญัติดังกล่าวเพียงแต่กำหนดให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่กระทำโดยสหภาพแรงงานซึ่งเป็นองค์กรของลูกจ้างซึ่งมีสมาชิก หรือลูกจ้างที่ร่วมในการเรียกร้องมีจำนวนมากถึงเกินกว่าสองในสามของลูกจ้างทั้งหมด กับนายจ้างหรือสมาคมนายจ้างซึ่งเป็นองค์กรของนายจ้าง แล้วจึงให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าวมีผลพันนายจ้างและลูกจ้างซึ่งทำงานในกิจการประเภทเดียวกันนั้นทุกคนเท่านั้น เมื่อตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกหมาย จล.1 ข้อ 10 ระบุว่า "บริษัทฯตกลงปรับพนักงานรายวันเป็นพนักงานรายเดือนโดยทั้งนี้สหภาพแรงงานฯส่งรายชื่อและหลักเกณฑ์การปรับพนักงานรายวันเป็นรายเดือนให้บริษัทฯปรับ ทั้งนี้พนักงานรายเดือนให้มีสิทธิและสถานภาพตามระเบียบของพนักงานรายเดือนที่บริษัทฯใช้ปฏิบัติอยู่ โดยกำหนดจำนวนดังต่อไปนี้
1 มกราคม 2548 จำนวน 200 คน
1 มกราคม 2549 จำนวน 200 คน
1 มกราคม 2550 จำนวน 200 คน
ทั้งนี้การปรับให้คำนวณค่าจ้างรายวันคูณสามสิบเป็นค่าจ้างรายเดือน โดยไม่นำผลประเมินประจำปีมาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณา" ตามข้อตกลงดังกล่าวระบุให้สิทธิสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ส่งรายชื่อและหลักเกณฑ์การปรับพนักงานรายวันเป็นรายเดือนแก่จำเลยหรือปรับตามจำนวนที่ระบุไว้ในแต่ละปี แต่ก็ระบุไว้ด้วยว่าการปรับนี้ไม่นำผลการประเมินประจำปีมาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ซึ่งหลักเกณฑ์ที่สหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์กำหนดตามหนังสือเรื่องการส่งรายชื่อพนักงานรายวันเพื่อปรับเป็นรายเดือน เอกสารหมาย จล.2 ระบุว่า "พนักงานที่มีอายุงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป" และได้ส่งข้อมูลพนักงานประกอบการพิจารณาปรับรายวันเป็นรายเดือนตามเอกสารแนบท้ายเอกสารหมาย จล.2 เมื่อสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่ระบุให้ปรับแก่พนักงานที่มีอายุงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และโจทก์ทั้งสามสิบห้ามีอายุงาน 10 ปีขึ้นไป แม้จะปรับให้แต่เพียงพนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์เท่านั้น ย่อมถือได้ว่าสหภาพแรงงานกะรัตสุขภัณฑ์ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้ว จำเลยต้องปรับโจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นพนักงานรายเดือน ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการที่จำเลยปรับพนักงานรายวันเป็นพนักงานรายเดือนจำนวน 165 คน โดยปฏิเสธไม่ปรับโจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จล.1 ข้อ 10 แล้วพิพากษาให้จำเลยปรับสภาพการจ้างของโจทก์ทั้งสามสิบห้าเป็นพนักงานรายเดือนกับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ และดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสามสิบห้าจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามสิบห้าสำนวนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน