คำพิพากษาฎีกา 7328/2551
เงินบำเหน็จชราภาพ ทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ ตามพรบ.ประกันสังคม ม.77 จัตวา
โจทก์ฟ้องว่า นายสันติเวช ภัทรพิพัฒน์ เป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ต่อมานายสันติเวชถึงแก่ความตาย ศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์ซึ่งเป็นน้องชายร่วมบิดามารดากับนายสันติเวชเป็นผู้จัดการมรดกของนายสันติเวช โจทก์จึงไปขอรับเงินบำเหน็จชราภาพของนายสันติเวช แต่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดลพบุรีไม่จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยที่ 1965/2548 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2548 ว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพของนายสันติเวช โจทก์ไม่เห็นด้วย ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยที่ 1965/2548 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2548 และให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ จำนวน 50,434 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัดวา (1) ถึง (3) กำหนดว่า ทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนได้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย สามีภริยา และบิดามารคาที่มีชีวิตอยู่เงินบำเหน็จชราภาพไม่ใช่ทรัพย์มรดก นายสันติเวช ภัทรพิพัฒน์ เป็นโสด บิดามารดา ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว โจทก์เป็นเพียงน้องชายร่วมบิดามารดาของผู้ประกันตนจึงไม่มีอำนาจจัดการหรือมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพของนายสันติเวช คำวินิจฉัยที่ 1965/2548 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2548 ของคณะกรรมการอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 1 พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัดวา เงินบำเหน็จชราภาพไม่ใช่มรดก โจทก์ทั้งในฐานะน้องชายร่วมบิดามารดาและในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสันติเวช ภัทรพิพัฒน์ ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับและไม่โต้เถียงกันมีว่า นายสันติเวช ภัทรพิพัฒน์ เป็นลูกจ้างของธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน) เริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 สิ้นสภาพการจ้างวันที่ 25 พฤษภาคม 2548 นายสันติเวชเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ส่งเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพมาแล้ว 78 เดือน เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2548 นายสันติเวชถึงแก่ความตาย นายสันติเวชไม่เคยสมรสและไม่มีบุตร ส่วนบิดามารดาก็ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้วต่อมาศาลจังหวัดลพบุรีมีคำสั่งตั้งโจทก์ซึ่งเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันนายสันติเวชให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายสันติเวช โจทก์ยื่นคำร้องขอรับเงินบำเหน็จชราภาพสำนักงานประกันสังคมจังหวัดลพบุรีมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเนื่องจากไม่ใช่ทายาทตามที่กฎหมายกำหนด โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยที่ 1965/2548 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2548 ว่าโจทก์ไม่ใช่บุคคลตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัดวา จึงไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ ให้ยกอุทธรณ์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า นายสันติเวช ไม่มีทายาทตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัดวา แต่เงินบำเหน็จชราภาพเป็นมรดก โจทก์ซึ่งเป็นน้องร่วมบิดามารดาของนายสันติเวชจึงเป็นทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (3) มีสิทธิได้รับมรดกเงินบำเหน็จชราภาพนั้น เห็นว่า แม้ปรากฏตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1965/2548 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2548 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ของโจทก์ว่า นายสันติเวช สิ้นสภาพการจ้าง (สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2548 ซึ่งทำให้ความเป็นผู้ประกันตนของนายสันติเวชสิ้นสุดลงตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 38 (2) ก่อน นายสันติเวชถึงแก่ความตายในวันที่ 26 พฤษภาคม 2548 ก็ตาม แต่พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 ทวิ วรรคสอง บัญญัติให้ในกรณีที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงตามมาตรา 38 หรือมาตรา 41 ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ มาตรา 77 จัดวา วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในกรณีที่ผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามมาตรา 77 ทวิ ถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทน ให้ทายาทของผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพซึ่งตามมาตรา 77 จัดวา วรรคสอง บัญญัติให้ทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพได้แก่ (1) บุตรชอบด้วยกฎหมาย (2) สามีหรือภริยา (3) บิดามารดา หรือบิดาหรือมารดาที่มีชีวิตอยู่ และในวรรคสามบัญญัติให้ในกรณีที่ไม่มีทายาทในอนุมาตราใด หรือทายาทนั้นได้ตายไปเสียก่อนให้แบ่งเงินบำเหน็จชราภาพตามมาตรา 77 (2) ในระหว่างทายาทผู้มีสิทธิในอนุมาตราที่มีทายาทผู้มีสิทธิได้รับ ตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงมีความมุ่งหมายให้ทายาทของผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจะต้องเป็นญาติใกล้ชิดตามที่มาตรา 77 จัดวา วรรคสอง บัญญัติไว้และทายาทนั้นจะต้องมีชีวิตอยู่หากเป็นทายาทที่ตายไปเสียก่อน เงินบำเหน็จชราภาพก็จะแบ่งให้เฉพาะในระหว่างทายาทผู้มีสิทธิอื่นต่อไป แม้โจทก์เป็นน้องร่วมบิดามารดาของนายสันติเวชซึ่งเป็นทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (3) แต่เมื่อโจทก์มิใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัดวา วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ประการต่อไปว่า เงินสมทบที่นายสันติเวชจ่ายให้กองทุนประกันสังคมเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพเป็นมรดกของนายสันติเวชนั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายมาในคำฟ้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง 1 ต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน