คำพิพากษาฎีกา 2036/2551
กรรมการลูกจ้าง ไม่ยินยอมปรับเปลี่ยนค่าจ้างจากรายชั่วโมงเป็นรายเดือน ถือว่าขัดคำสั่ง/นโยบาย มีเหตุเลิกจ้างได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นบริษัทสังกัดกลุ่มสยามมิชลินกรุ๊ป มีนโยบายและการบริหารงานบุคคลเป็นระบบเดียวกัน คณะกรรมการบริหารของผู้ร้องมีมติและคำสั่งให้ผู้ร้องปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลในด้านระบบการจ่ายเงินเดือน การจัดทำระบบบัญชี การลดงานซ้ำซ้อนและไม่จำเป็นลง และต่อมาได้มีการนำระบบการจ่ายเงินเดือนผ่าน MEDIA CLEARING มาใช้โดยสำนักงานบุคคลสยามมิชลินกรุ๊ปเป็นผู้จ่ายเงินเดือนของพนักงานทุกคนของทุกบริษัท อันทำให้สามารถลดขั้นตอนการทำงานและลดเวลาการทำงานของทั้งฝ่ายบัญชีการเงินและฝ่ายบุคคลได้เป็นอย่างดี โดยปรับเปลี่ยนระบบการจ่ายเงินเดือนจากพนักงานประเภทอื่นมาเป็นพนักงานรายเดือนรวม 5,400 คน นั้น พนักงานของผู้ร้องส่วนใหญ่เห็นด้วยและยินยอมเข้าสู่ระบบการจ่ายเงินเป็นรายเดือน คงมีแต่ผู้คัดค้านในคดีนี้ซึ่งได้รับค่าจ้างเป็นรายชั่วโมงที่ยังเหลืออยู่เพียงคนเดียวและเป็นกรรมการลูกจ้างของผู้ร้องไม่ยินยอมที่จะเข้าสู้ระบบ ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายหลายประการ ผู้ร้องมีหนังสือชี้แจงและแจ้งเตือนผู้คัดค้านหลายครั้งแล้ว แต่ผู้คัดค้านก็ยังไม่ยินยอมเข้าสู่ระบบ การกระทำของผู้คัดค้านดังกล่าวจึงเป็นการขัดขวางการพัฒนาบริษัทของผู้ร้องและเป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับการบริหารงานบุคคลของผู้ร้องอย่างร้ายแรง ผู้ร้องขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านรับค่าชดเชย 142,584 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 11,406.72 บาท
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การที่ผู้ร้องเปลี่ยนแปลงปรับปรุงวิธีการบริหารงานของบริษัทโดยนำวิธีการจ่ายค่าจ้างรายเดือนมาแทนการจ่ายค่าจ้างรายชั่วโมงโดยกำหนดเป็นรูปนโยบายโดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 เป็นการแก้ไขหรือเพิ่มเติมหรือยกเลิกสภาพการจ้างเดิมอันเป็นการดำเนินการโดยพลการ ย่อมไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ดังนั้นการที่ผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตามจึงไม่ใช่เป็นการฝ่าฝืน หลีกเลี่ยง ขัดขืน หรือละเลยเพิกเฉยต่อกฎ ข้อบังคับ ระเบียบ สัญญาจ้าง ประกาศหรือคำสั่งของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่อาจจะนำเหตุดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างในการเลิกจ้าง อีกทั้งเป็นการขอเลิกจ้างลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องและเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับอันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123 ผู้คัดค้านไม่ได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 การที่ผู้คัดค้านไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจากพนักงานรายชั่วโมงเป็นพนักงานรายเดือนเป็นสิทธิตามกฎหมายที่ผู้คัดค้านพึงกระทำได้ซึ่งผู้ร้องยังคงสามารถบริหารจัดการบริษัทของผู้ร้องได้ตามปกติ ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้คัดค้านตกลงยินยอมเปลี่ยนการรับค่าจ้างแบบรายชั่วโมงมาเป็นรายเดือนเหมือนกับพนักงานคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นการดำเนินการผิดขั้นตอนของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 13,16,18 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องจำเป็นต้องทำให้การบริหารงานของผู้ร้องเป็นระบบเดียวกับบริษัทในเครือตามหลักการบริหารทั่วไป ไม่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการขัดขวางการบริหารที่ควรเป็นระบบเดียวกันทั้งหมด เป็นการกระทำผิดกฎระเบียบ ข้อบังคับของผู้ร้องอย่างร้ายแรง ผู้คัดค้านไม่สามารถทำงานกับผู้ร้องอีกต่อไปได้พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 ให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านหรือไม่เท่านั้น ศาลไม่มีอำนาจก้าวล่วงไปวินิจฉัยว่าเมื่อเลิกจ้างแล้วจะต้องจ่ายเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 หรือไม่ มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างนายฐณเกียรติหรือสมเกียรติ แก้วหริ่ง ผู้คัดค้านได้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2534 ผู้ร้องจ้างผู้คัดค้านเข้าทำงานเป็นลูกจ้างสังกัดฝ่ายผลิต มีหน้าที่ตัดผ้าใบ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละ 59.41 บาท ปี 2546 ผู้คัดค้านได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบการของผู้ร้อง ต่อมาปลายปี 2546 ผู้ร้องและบริษัทในเครือสยามมิชลินกรุ๊ปได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลในระบบการจ่ายเงินเดือน การจัดทำบัญชี และการลดงานซ้ำซ้อน โดยการปรับเปลี่ยนพนักงานรายชั่วโมงเป็นพนักงานรายเดือนและนำระบบการจ่ายเงินเดือนผ่านธนาคารมาใช้กับพนักงานทุกคน เว้นแต่ผู้คัดค้านคนเดียวที่ยังคงเป็นพนักงานรายชั่วโมงที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยน ซึ่งการปรับเปลี่ยนระบบการจ่ายเงินเดือนนั้น เป็นการเปลี่ยนให้พนักงานส่วนกลางของบริษัทในเครือดำเนินการจ่ายเงินเดือนแทนการให้พนักงานของผู้ร้องดำเนินการ เมื่อผู้คัดค้านเป็นพนักงานรายชั่วโมงเพียงคนเดียวผู้ร้องจึงต้องจัดให้มีพนักงานดำเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือนให้ผู้คัดค้านต่างหากเพียงคนเดียว ผู้ร้องได้ขอให้ผู้คัดค้านปรับเปลี่ยนจากการเป็นพนักงานรายชั่วโมงเป็นพนักงานรายเดือนแต่ผู้คัดค้านไม่ยินยอม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านหรือไม่ เห็นว่า การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 นายจ้างต้องมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้าง โดยเหตุนั้นอาจเกิดจากกรรมการลูกจ้าง หรือจากทางฝ่ายนายจ้าง หรือบุคคลภายนอกก็ได้ ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันได้ความว่าผู้ร้องมีพนักงาน (ลูกจ้าง) ประมาณ 1,300 คน มีผู้คัดค้านเพียงคนเดียวที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนจากพนักงานรายชั่วโมงเป็นพนักงานรายเดือน ผู้คัดค้านยอมรับยอดรายได้รวมตามเอกสารหมาย ร.9 ของผู้คัดค้านในฐานะพนักงานรายเดือนสูงกว่ายอดรายรับรวมในฐานะพนักงานรายชั่วโมง ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงพนักงานรายชั่วโมงเป็นพนักงานรายเดือนผู้ร้องได้ประชุมพนักงานแล้ว ความเสียหายที่ผู้ร้องได้รับจากการที่ผู้คัดค้านไม่ยอมปรับเปลี่ยนไปเป็นพนักงานรายเดือนตามคำร้องและหนังสือที่ผู้ร้องมีถึงผู้คัดค้านเอกสารหมาย ร.6 ซึ่งผู้คัดค้านไม่ได้โต้แย้งกล่าวคือการบริหารค่าจ้างในตำแหน่งเดียวกันมี 2 ระบบ การคำนวณค่าจ้างของพนักงานอื่นใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ของผู้คัดค้านต้องแยกมาทำด้วยมือ ไม่สามารถจ่ายค่าจ้างของผู้คัดค้านออนไลน์ผ่านระบบ MEDIA CLEARING ของธนาคารซิตี้แบงค์และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ ผู้ร้องไม่สามารถปิดบัญชีต้นทุนการผลิตในระบบคอมพิวเตอร์ได้ ต้องปรับยอดบัญชีทุกเดือน ทำให้เสี่ยงต่อความผิดพลาดสูง ไม่สามารถใช้ระบบบันทึกเวลาของผู้คัดค้านด้วยระบบ BARCODE เหมือนพนักงานรายเดือน และผู้ร้องต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริหารค่าจ้างให้ผู้คัดค้านเพียงคนเดียว การที่ผู้คัดค้านยังยืนกรานเป็นพนักงานรายชั่วโมงเพียงคนเดียวในกิจการของผู้ร้องโดยอ้างเหตุว่าการปรับเปลี่ยนพนักงานรายชั่วโมงเป็นพนักงานรายเดือนเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ผู้ร้องไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ผู้ร้องแก้ไขเพิ่มเติมสภาพการจ้างโดยพลการ ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายดังที่ปรากฏในคำคัดค้านของผู้คัดค้าน ทั้งที่ผู้คัดค้านรู้อยู่ว่ายอดรายได้ในฐานะพนักงานรายเดือนสูงกว่ายอดรายได้ในฐานะพนักงานรายชั่วโมง การเป็นพนักงานรายเดือนเป็นคุณแก่ผู้คัดค้านและพนักงานของผู้ร้องยิ่งกว่าการเป็นพนักงานรายชั่วโมง ไม่ต้องห้ามมิให้ผู้ร้องทำสัญญาจ้างแรงงานกับพนักงานเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างจากพนักงานรายชั่วโมงเป็นพนักงานรายเดือนตามมาตรา 20 ประกอบกับก่อนการปรับเปลี่ยนผู้ร้องได้มีการประชุมชี้แจงและมีหนังสือชี้แจงความเสียหายของผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.6 แล้ว ผู้คัดค้านก็ไม่ยอมรับฟังเหตุผล ยังยืนยันที่จะเป็นพนักงานรายชั่วโมงให้ได้ ไม่ใช่กรณีผู้ร้องกลั่นแกล้งผู้คัดค้าน แต่เป็นกรณีผู้ร้องกับผู้คัดค้านทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้โดยเหตุอันเกิดจากผู้คัดค้าน ทำให้ผู้ร้องเสียหายและเป็นการขัดขวางการพัฒนาบริษัทของผู้ร้อง มีเหตุอันสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของผู้คัดค้านเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน