คำพิพากษาฎีกา 2544 - 2545 / 2552
กระทำความผิดซ้ำคำเตือน
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกพันจ่าอากาศเอกทวีศักดิ์ ศรีสมบูรณ์ ในฐานะพนักงานตรวจแรงงานว่าจำเลยที่ 1 เรียกบริษัทโรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) ว่า จำเลยที่ 2
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2529 จำเลยที่ 2 ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายคือพนักงานผู้ช่วยพยาบาลแผนกบริบาลทารก ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,935 บาท ค่าครองชีพเดือนละ 800 บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ 28 ของเดือน ต่อมาวันที่ 17 พฤศจิกายน 2546 จำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือแจ้งเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 โดยโจทก์ไม่มีความผิดและจำเลยที่ 2 ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 20 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ได้ร้องต่อพลตรีสุริยะ ผลากรกุล ว่าจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ารวมทั้งค่าเสียหายแต่ได้รับแจ้งว่าเป็นมติของกรรมการสอบสวนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งเลิกจ้างได้ แต่จะให้เงินช่วยเหลือกรณีพิเศษ 87,350 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 9/2547 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างและค่าล่วงเวลาในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 โจทก์ทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547 โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวเพราะโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เริ่มกระทำความผิดก่อน จำเลยที่ 2 ไม่ได้ตั้งกรรมการสอบสวนก่อนและไม่มีพยานหลักฐานว่าโจทก์กระทำผิด ทั้งมิใช่ความผิดร้ายแรง การที่จำเลยที่ 2 ลงโทษตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2546 เนื่องจากการกระทำความผิดเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2545 เรื่องฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหมวดที่ 7 ข้อ 6 ข้อ 8 และข้อ 15 และในวันที่ 24 ตุลาคม 2546 ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าโจทก์ได้กระทำผิดซ้ำคำเตือนยังไม่เกิน 1 ปี นับแต่ได้กระทำผิดนั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่มีความผิดจึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 เป็นค่าจ้าง 291 บาท ค่าล่วงเวลา 220 บาท โจทก์ทำงานติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี ขึ้นไปมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายรวมค่าครองชีพ 300 วัน เป็นเงิน 87,350 บาท และมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 41 วัน เป็นเงิน 11,937 บาท ทั้งโจทก์ไม่ได้กระทำผิดหลักเกณฑ์เรื่องเงินสะสมหรือเงินสวัสดิการพนักงานของจำเลยซึ่งมีระเบียบว่าพนักงานซึ่งมีอายุงาน 5 ปี ขึ้นไปมีสิทธิได้รับเงินเมื่อออกจากงานโดยมีเงื่อนไขว่าอายุงาน 3 ปี จะได้เท่ากับเงินเดือนสุดท้าย 1 เดือน และจะเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี ต่อเดือน จำเลยที่ 2 จึงต้องจ่ายเงินสะสมตามอายุทำงานของโจทก์ 18 ปี เป็นเงิน 52,410 บาท และการเลิกจ้างทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดรายได้ประจำ โจทก์มีภาระอุปการะเลี้ยงดูบุตร 3 คน มีค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ภาระผ่อนซื้อบ้าน โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 1,048,200 บาท ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 9/2547 ฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 ให้จำเลยที่ 2 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 11,937 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าจ้าง 291 บาท ค่าล่วงเวลา 220 บาท ค่าชดเชย 87,350 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 1,048,200 บาท และเงินสะสม 52,410 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานกลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ที่ 9/2547 เรื่องค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ชอบด้วยกฎหมายแล้วเพราะโจทก์ถูกจำเลยที่ 2 ลงโทษตักเตือนเป็นหนังสือเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2546 เนื่องจากกระทำความผิดฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2545 ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2546 โจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปีนับแต่กระทำผิดครั้งแรก จำเลยที่ 2 จึงเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย แต่โจทก์ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้บริหารและได้รับเงินช่วยเหลือจากจำเลยที่ 2 เป็นจำนวน 10 เท่าของค่าจ้างอัตราสุดท้ายเท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมาย 87,350 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้าง 1 เดือน เป็นเงิน 8,735 บาท และค่าจ้างเดือนพฤศจิกายน 2546 จำนวน 8,735 บาท รวมเป็นเงิน 17,470 บาท ส่วนค่าล่วงเวลาตามที่โจทก์อ้างก็เป็นระยะเวลาภายหลังเลิกจ้างแล้ว สำหรับเงินสวัสดิการพนักงานตามที่โจทก์อ้างว่าเป็นเงินสะสมนั้น นอกเหนืออำนาจของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การทั้งสองสำนวนว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ตำแหน่งพนักงานผู้ช่วยพยาบาลแผนกบริบาลทารก ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,935 บาท ค่าครองชีพ 800 บาท และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2546 จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์และมีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 เนื่องจากโจทก์กระทำความผิดฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบและคำสั่งของจำเลยที่ 2 ซึ่งชอบด้วยกฎหมายถึง 2 ครั้ง โดยการพูดจาเสียงดัง ข่มขู่ว่าจะฟันแทงนางสาวสุภางค์ ยันตพร หัวหน้าแผนกบริบาลทารกซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ใช้คำพูดส่อเสียด ข่มขู่ หยาบคายต่อผู้ร่วมงานและผู้บังคับบัญชา ไม่เคารพผู้บังคับบัญชาไม่ยอมรับการโอนย้ายงานตามคำสั่งโดยชอบของจำเลยที่ 2 ทำให้ผู้ร่วมงานและผู้บังคับบัญชาไม่สามารถปฏิบัติงานร่วมกับโจทก์ได้อย่างปกติสุข โจทก์มีหน้าที่ดูแลเด็กอ่อนอย่างใกล้ชิดไม่ควรทำให้เกิดภาวะความเครียดแก่เพื่อนร่วมงานเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อผู้ป่วยและชื่อเสียงของจำเลยที่ 2 การกระดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับและระเบียบของจำเลยที่ 2 หมวดที่ 7 ข้อ 6 ข้อ 8 และข้อ 15 จำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือตักเตือนโจทก์แล้วเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2546 แต่ต่อมาโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนอีกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2546 โดยกล่าววาจาหยาบคายขู่อาฆาตเพื่อนร่วมงานต่อหน้าผู้บังคับบัญชาเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงาน เมื่อเกิดเหตุขึ้นจำเลยที่ 2 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งสองครั้งและเห็นว่าโจทก์กระทำผิดฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานจึงเห็นสมควรเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยค่าเสียหาย รวมทั้งสิทธิประโยชน์ใดๆ แต่ได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าเวรและค่าอาหารแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ครั้นเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 โจทก์มีหนังสือยอมรับว่าได้กระทำความผิดซ้ำคำเตือนและทำผิดตามหนังสือเลิกจ้างจริงขอให้จำเลยที่ 2 ช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษและตกลงจะไม่เรียกค่าเสียหายหรือเงินได้ส่วนใดอีก จำเลยที่ 2 พิจารณาแล้วได้จ่ายเงินเป็นการช่วยเหลือโจทก์ 87,350 บาท ต่อมาโจทก์ได้ร้องต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเมื่อจำเลยที่ 1 สอบข้อเท็จจริงแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์กระทำผิดฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานจริง จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โดยชอบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ส่วนเงินสวัสดิการพนักงานเมื่อลาออกจากงานเป็นสวัสดิการที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ให้ฝ่ายเดียวเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างเมื่อลาออกจากงานหรือเกษียณอายุหรือเสียชีวิตโดยคำนวณจากระยะเวลาทำงานแต่ไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้ายรวม 10 เดือน แต่จะไม่จ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างเพราะกระทำผิดตามความในข้อ 47 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานหรือมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นพนักงานผู้ช่วยพยาบาลแผนกบริบาลทารก ได้รับค่าจ้างรวมค่าครองชีพเดือนละ 8,735 บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ 28 ของเดือน วันที่ 18 พฤศจิกายน 2545 โจทก์ขอแลกเปลี่ยนเวร แต่นางสาวสุภางค์ ยันตพร ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ให้ไปสอบถามเจ้าของเวรก่อน โจทก์ไม่พอใจได้พูดจาหยาบคาย ด่าทอและพูดขู่จะแทงทำร้ายนางสาวสุภางค์ จำเลยที่ 2 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าโจทก์มีพฤติการณ์ก้าวร้าวผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 2 เห็นชอบให้มีหนังสือตักเตือนและภาคทัณฑ์โจทก์ตามเอกสารหมาย ล.8 แต่โจทก์ไม่ยินยอมรับหนังสือ ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2546 ทารกคนหนึ่งมีปัญหาการดื่มนม โจทก์ป้อนนมให้ทารกแล้วไปล้างขวดนม ทารกร้องขึ้นแต่โจทก์ไม่มาอุ้มทารกกลับไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์นางจิราพร เขินประติยุทธ หัวหน้าพยาบาลเวรได้ไปอุ้มทารกและให้นมแทนแล้วพูดว่ากล่าวตักเตือนโจทก์ โจทก์ไม่พอใจพูดจาเสียงดังไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ความเคารพและพูดทำนองชวนทะเลาะวิวาท นางจิราพรได้ทำบันทึกรายงานเสนอต่อนางสาวสุภางค์ โจทก์เข้าไปหาพูดจาหยาบคาย ด่าทอนางจิราพรต่อหน้านางสาวสุภางค์ จำเลยที่ 2 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ระหว่างการสอบสวนจำเลยที่ 2 มีคำสั่งย้ายโจทก์ไปประจำแผนกจ่ายของปราศจากเชื้อกลางเป็นการชั่วคราว แต่โจทก์ไม่ยินยอมลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่ง จำเลยที่ 2 จึงมีคำสั่งให้โจทก์หยุดงานตั้งแต่วันที่ 11 ถึง 13 พฤศจิกายน 2546 โดยจ่ายค่าจ้าง คณะกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าโจทก์มีพฤติการณ์ก้าวร้าวผู้บังคับบัญชา เห็นสมควรเลิกจ้าง จำเลยที่ 2 เห็นชอบและมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 โดยไม่จ่ายค่าชดเชยค่าเสียหาย และสิทธิประโยชน์อื่น หลังจากนั้นโจทก์ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินตามกฎหมาย จำเลยที่ 1 สอบสวนแล้วได้มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 9/2547 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างและค่าล่วงเวลาในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 จากจำเลยที่ 2 แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์กระทำผิดระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยที่ 2 โดยใช้วาจาส่อเสียดพูดจาข่มขู่หยาบคายต่อผู้ร่วมงานและผู้บังคับบัญชา อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง แม้มิใช่กรณีร้ายแรงแต่โจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปี และโจทก์ทราบคำสั่งแล้วแม้ไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในหนังสือเตือนจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุสมควร ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ที่โจทก์อุทธรณ์ประการแรกว่า โจทก์ไม่ได้กระทำผิดตามที่จำเลยที่ 2 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทั้งสองครั้ง หากโจทก์กระทำผิดก็ย่อมลงลายมือชื่อรับทราบความผิดครั้งแรกและครั้งที่ 2 เป็นคนละข้อหาไม่ซ้ำกัน ทั้งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยไม่ถึงกับให้ออกจากงาน คณะกรรมการสอบสวนเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 การสอบสวนไม่โปร่งใสเพราะไม่เคยสอบสวนพยานของโจทก์ พยานที่จำเลยที่ 2 เรียกมาสอบก็มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์อ้างเหตุต่างๆ เพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาในคำเตือนทั้งสองครั้ง และไม่ถึงกับเป็นเหตุให้โจทก์ต้องออกจากงาน เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ระหว่างการสอบสวนจำเลยที่ 2 มีคำสั่งย้ายแผนกงานโจทก์และต่อมาให้โจทก์หยุดงาน 3 วัน โดยโจทก์ไม่ยินยอมถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ การเลิกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมไปด้วยนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนภายในระยะเวลาหนึ่งปี จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุสมควร ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ข้ออุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลง
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า หนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 2 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2546 ให้นางสาวยุรพันธ์ ธาราณัติ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลฝ่ายบริหารทั่วไปและหัวหน้าฝ่ายบุคคล ไปพบพนักงานตรวจแรงงานกรณีของโจทก์ มีการปิดอากรแสตมป์แต่ไม่มีการขีดฆ่า ถือเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ชอบ ตกเป็นโมฆะมีผลเสมือนว่าไม่มีการมอบอำนาจแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 1 วินิจฉัยพยานหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องมาจากหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบไปด้วยนั้น เห็นว่า ข้ออุทธรณ์ของโจทก์แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลแรงงานกลาง แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยศาลฎีการับวินิจฉัยให้ ในปัญหาดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 139 (2) บัญญัติว่า ในการปฏิบัติการตามหน้าที่พนักงานตรวจแรงงานมีอำนาจทำหนังสือสอบถามหรือเรียกนายจ้าง ลูกจ้าง หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาดังนั้นหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 2 ที่จำเลยที่ 2 มอบหมายให้พนักงานไปพบหรือให้ปากคำต่อพนักงานตรวจแรงงานตามหนังสือเรียกของพนักงานตรวจแรงงานแม้จะมิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ให้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ในฐานะพนักงานตรวจแรงงานก็มีอำนาจที่จะสอบถามพนักงานของจำเลยที่ 2 ที่มาให้ปากคำหรือส่งสิ่งของหรือเอกสารที่มีหนังสือเรียกไปเป็นพยานหลักฐานเพื่อประกอบการวินิจฉัยสั่งการได้ และไม่มีผลให้คำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตราประทับของจำเลยที่ 2 ในหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 22 ธันวาคม 2546 กับตราประทับของจำเลยที่ 2 ในหนังสือรับรองนิติบุคคลเป็นคนละตรากัน การมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายมีผลให้การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย เห็นว่า ข้อนี้เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน