คำพิพากษาฎีกา 2861/2552
เปลี่ยนแปลงผู้รับผลประโยชน์กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ - บุตรนอกกฎหมายมีสิทธิรับผลประโยชน์กองทุนฯ
โจทก์ฟ้องว่า นายวิเชียร งามสมกลิ่น สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เป็นพนักงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายวิเชียรได้สมัครเป็นสมาชิกของจำเลยเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2536 โดยระบุให้โจทก์เป็นผู้รับผลประโยชน์แต่ผู้เดียว ต่อมาเดือนมกราคม 2542 นายวิเชียรป่วยจึงลาพักรักษาตัวและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลายครั้ง และต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 2542 นายวิเชียรได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่นั้น นายวิโรจน์ งามสมกลิ่น ซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายวิเชียรกับพวกได้มาหาและให้นายวิเชียรลงลายมือชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือลงในเอกสารที่ยังไม่มีการกรอกข้อความใดๆ หลายฉบับ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2542 นายวิเชียรได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดรวมทั้งเงินผลประโยชน์ในส่วนของตนในฐานะเป็นสมาชิกของจำเลยให้โจทก์แต่ผู้เดียว ต่อมาวันที่ 12 เมษายน 2542 นายวิเชียรได้ถึงแก่กรรม หลังจากนั้นโจทก์ได้ไปติดต่อเพื่อขอรับเงินในฐานะที่เป็นผู้รับผลประโยชน์จากการที่นายวิเชียรเป็นสมาชิกของจำเลย แต่ได้รับแจ้งว่านายวิโรจน์ งามสมกลิ่น ได้ยื่นหนังสือเปลี่ยนแปลงหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ของนายวิเชียร โดยให้มีผู้รับผลประโยชน์ 3 คน คือนายวิโรจน์ งามสมกลิ่น ได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 50 นางจิราภรณ์ งามสมกลิ่น ได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 16 และโจทก์ได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 34 ตามหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ฉบับลงวันที่ 10 มีนาคม 2542 โจทก์เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่รับเรื่องเปลี่ยนแปลงผู้รับผลประโยชน์ดังกล่าวบกพร่องไม่สุจริต ไม่ตรวจสอบให้รอบคอบรับเรื่องจากบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกของจำเลยซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้รับผลประโยชน์ดังกล่าวจึงได้ทำหนังสือคัดค้านไว้เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2542 ต่อมาวันที่ 12 พฤษภาคม 2542 จำเลยได้มอบเช็คจ่ายเงินให้โจทก์ตามส่วนแบ่งของหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ที่นายวิโรจน์ได้ยื่นไว้ วันที่ 2 พฤษภาคม 2543 โจทก์ทำเรื่องร้องเรียนอีกครั้งหนึ่งไปที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สอบสวนการกระทำของเจ้าหน้าที่จำเลยและได้รับคำตอบเป็นหนังสือว่านายเถกิงศักดิ์ ธนังกูล และนายอมฤต พงศ์ไพฑูรย์ เจ้าหน้าที่ของจำเลยกระทำไปโดยถูกต้องแล้ว การที่จำเลยจ่ายเงินสมาชิกกองทุนของนายวิเชียรตามหนังสือที่นายวิโรจน์ยื่นไว้เป็นการผิดข้อบังคับของกองทุนข้อ 9.4 ที่ระบุว่าภายใต้บังคับของข้อ 9.2 และ 9.3 ในกรณีสมาชิกถึงแก่กรรมให้คณะกรรมการกองทุนจ่ายเงินกองทุนส่วนของสมาชิกให้แก่บุคคลต่อไปนี้ ข้อ 9.4.1 ผู้ที่สมาชิกได้ทำหนังสือมอบไว้ให้แก่คณะกรรมการกองทุน 9.4.2 ผู้ที่สมาชิกได้ทำหนังสือพินัยกรรมยกเงินกองทุนส่วนของสมาชิก หากปรากฎว่าหนังสือพินัยกรรมกระทำภายหลังหนังสือตามข้อ 9.4.1 การที่จำเลยมีเจตนาไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบ โจทก์เป็นผู้รับผลประโยชน์ตามหนังสือแต่งตั้งผู้รับประโยชน์ฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม 2536 และเป็นผู้ที่นายวิเชียรทำพินัยกรรมยกเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนของตนให้ผู้เดียว เจ้าหน้าที่ของจำเลยประมาทเลินเล่อบกพร่องไม่ตรวจสอบให้รอบคอบและไม่สุจริต เป็นการจ่ายเงินกองทุนไปโดยไม่ถูกต้องอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 และตามข้อบังคับกองทุนดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายตามอัตราส่วนร้อยละ 66 เป็นเงิน 1,778,488.80 บาท โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2542 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยปฏิเสธการจ่ายเงินตามที่โจทก์ร้องขอนับถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 544,684 บาท รวมค่าเสียหายเป็นเงิน 2,323,173.80 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,323,173.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,778,488.80 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยจ่ายเงินกองทุนไปโดยถูกต้องตามระเบียบและข้อบังคับโดยชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและคดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาได้ความว่า นายวิเชียร งามสมกลิ่น สามีโจทก์เป็นสมาชิกกองทุนจำเลยโดยยื่นใบสมัครพร้อมทำหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียวตามเอกสารหมาย จ.5 ต่อมานายวิเชียรทำหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ขึ้นใหม่ระบุผู้รับผลประโยชน์ไว้ 3 คน คือนายวิโรจน์ งามสมกลิ่น ส่วนแบ่งของผลประโยชน์คิดเป็นร้อยละ 50 นางจิราภรณ์ งามสมกลิ่น ส่วนแบ่งของผลประโยชน์คิดเป็นร้อยละ 16 และโจทก์ ส่วนแบ่งของผลประโยชน์คิดเป็นร้อยละ 34 ตามเอกสารหมาย จ.20 นายวิโรจน์และนางจิราภรณ์เป็นบุตรชายและบุตรสาวของนายวิเชียรซึ่งเกิดจากภริยาคนก่อน แล้วฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า หนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ตามเอกสารหมาย จ.20 เป็นการทำขึ้นโดยนายวิเชียรมีเจตนาจะให้บุตรทั้งสองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากกองทุนด้วย
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับในข้อกฎหมายประการแรกว่า การเปลี่ยนแปลงบุคคลผู้รับผลประโยชน์สามารถกระทำได้ตามระเบียบข้อบังคับของกองทุนหรือไม่ เห็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.23 ที่ใช้บังคับอยู่ขณะนายวิเชียรถึงแก่กรรมไม่มีข้อห้ามไม่ให้เปลี่ยนแปลงบุคคลผู้รับผลประโยชน์ไว้ เมื่อการแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์เป็นสิทธิเฉพาะตัวของสมาชิกกองทุนจำเลย การที่นายวิเชียรแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ใหม่ตามเอกสารหมาย จ.20 เช่นนี้ ย่อมชอบด้วยกฎหมายหาขัดต่อระเบียบข้อบังคับของกองทุนจำเลยดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ ส่วนปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยประการต่อไปที่ว่า นายวิโรจน์และนางจิราภรณ์ งามสมกลิ่น มิได้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรที่บิดารับรองแล้วของนายวิเชียร ต้องห้ามมิให้เป็นผู้รับผลประโยชน์ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 หรือไม่ เห็นว่า กรณีดังกล่าวมีบัญญัติไว้ในมาตรา 23 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 ว่า "เมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะเหตุอื่นซึ่งมิใช่กองทุนเลิก ผู้จัดการกองทุนต้องจ่ายเงินจากกองทุนให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน..." และวรรคสองบัญญัติว่า "ในกรณีสิ้นสมาชิกภาพเพราะถึงแก่ความตาย ถ้าลูกจ้างมิได้กำหนดบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนไว้โดยพินัยกรรมหรือทำเป็นหนังสือมอบไว้แก่ผู้จัดการกองทุน หรือได้กำหนดไว้แต่บุคคลผู้นั้นตายก่อน ให้จ่ายเงินจากกองทุนตามวรรคหนึ่งให้แก่บุคคลตามหลักเกณฑ์ดังนี้ (1) บุตรให้ได้รับสองส่วน..." ดังนั้น เมื่อนายวิเชียรลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนจำเลยได้กำหนดตัวบุคคลผู้จะพึงได้รับเงินไว้ตามหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์เอกสารหมาย จ.20 และผู้จะพึงได้รับผลประโยชน์ยังมีชีวิตอยู่จึงต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของสมาชิก หาใช่ให้แบ่งจ่ายตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 มาตรา 23 ดังกล่าวไม่ ทั้งตามข้อบังคับของจำเลยฉบับปี 2537 เอกสารหมาย จ.23 ก็กำหนดทำนองเดียวกันโดยไม่มีข้อจำกัดว่าผู้ที่ลูกจ้างกำหนดเป็นผู้จะพึงได้รับเงินจากกองทุนจะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น แม้นายวิโรจน์กับนางจิราภรณ์จะมิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายวิเชียร ก็ย่อมเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนตามที่นายวิเชียรกำหนดไว้ในหนังสือแต่งตั้งผู้รับผลประโยชน์ หาต้องห้ามกฎหมายไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน