นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล กับการปกป้องประโยชน์ชาติ
การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามบทบัญญัติในหมวด 5 ของรัฐธรรมนูญ ระหว่างวันที่ 23-25 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมานั้น
ส่วนหนึ่งก็มีหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานและผู้ที่จบการศึกษาปริญญาตรีผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะรัฐบาลยังไม่แถลงว่าจะประกันค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท กับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทโดยทันที
ส่วนหนึ่งก็มีหลายนโยบายที่หลายฝ่ายกังวลใจว่า น่าจะมีปัญหาคาบเกี่ยวกับจริยธรรมของสังคม และบางนโยบายอาจละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน เช่น นโยบายว่าด้วยการแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติด
ประการที่น่าติดตามคือ การปรับตัวตามกระแสโลกาภิวัตน์ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าหลายนโยบายถูกกำหนดจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ที่กำลังเดินสายตามนโยบาย "ดูเราและดูโลก"
โดยเฉพาะ "หลักการของนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล" ที่รัฐบาลแถลงว่า"จะยึดหลักการบริหารที่มีความยืดหยุ่นที่คำนึงถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยรัฐบาลจะรายงานต่อรัฐสภาเมื่อมีความจำเป็นต้องปรับปรุงนโยบายให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศให้มากที่สุด นโยบายของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือประการที่หนึ่ง เพื่อนำประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุล มีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน การพัฒนาคุณภาพและสุขภาพคนไทยในทุกช่วงวัยถือเป็นปัจจัยชี้ขาดความสามารถในการอยู่รอดและแข่งขันได้ของเศรษฐกิจไทย
ประการที่สอง เพื่อนำประเทศไทยสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์ และอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกัน และมีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อประชาชนคนไทยทุกคนประการที่สาม เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็ง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และความมั่นคง"คำแถลงนโยบายดังกล่าว "นโยบายด้านพลังงาน" นับเป็นนโยบายที่ต้องถูกตรวจสอบมากที่สุด"๓.๕.๑ ส่งเสริมและผลักดันให้อุตสาหกรรมพลังงานสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจพลังงานของภูมิภาค โดยใช้ความได้เปรียบเชิงภูมิยุทธศาสตร์
๓.๕.๒ สร้างเสริมความมั่นคงทางพลังงาน โดยแสวงหาและพัฒนาแหล่งพลังงานและระบบไฟฟ้าจากทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งให้มีการ กระจายแหล่งและประเภทพลังงานให้มีความหลากหลาย เหมาะสม และยั่งยืน"
ทั้งนี้ เพราะนโยบายด้านพลังงานเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัญหาและผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศในหลายฝ่าย ทั้งปัญหาพรมแดนไทย-เขมร คณะกรรมการมรดกโลก และการทูตระหว่างประเทศ
ประการสำคัญของนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลที่สังคมเคลือบแคลงสงสัยที่สุดคือ ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) อันเกิดจากการเดินสายของทักษิณที่ไปทั้งญี่ปุ่น-เขมรและอื่นๆ
เพราะหลายส่วนก็เป็นห่วงและกลัวว่ารัฐบาลนี้ที่มาไวอาจจะไปไว เดินเกมเร็ว ปิดเกมเร็ว เพื่อปฏิบัติภารกิจให้เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ซึ่งสนิทสนมนายกรัฐมนตรีของเขมรเกี่ยวกับแหล่งพลังงาน
หลายส่วนกังวลว่าจะมีการเปลี่ยนแผนที่ทางทะเล เพื่อเฉือนบางพื้นที่ในอ่าวไทยที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยก๊าซและน้ำมัน อันเป็นประโยชน์มหาศาลของชาติ ไปให้กลุ่มทุนของเครือญาติแสวงหาประโยชน์
ดังนั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยโปร่งใส สุจริต และประชาชนตรวจสอบได้ในอันที่จะปกป้องประโยชน์ของประเทศ ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่จะมุ่งมั่นจะสร้างความสามัคคี ปรองดอง ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครองของประเทศให้ก้าวหน้าเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยทุกคน
รัฐบาลโดยเฉพาะ ปตท. จะต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับบ่อน้ำมันทุกบ่อ บ่อก๊าซพลังงานธรรมชาติทั้งหมด และต้องเปิดเผยผลประโยชน์ทั้งหมดว่าตกอยู่กับแผ่นดินหรือตกอยู่ในกลุ่มทุนไหนบ้าง
การพัฒนาแหล่งพลังงาน ทั้งบ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน แต่จะต้องดำเนินการโดยประเทศไทยโดยเฉพาะ ไม่ใช่แบ่งประโยชน์ให้เอกชนต่างชาติถึงเวลาที่ประชาชนทุกฝ่ายจะต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลอย่างจริงจังเพื่อปกป้องประโยชน์ของแผ่นดิน ก่อนประเทศจะถูกปล้น เพราะการฉ้อฉลทางนโยบายแห่งรัฐ.