คำพิพากษาฎีกา 2552 – 2554 / 2552
ฟ้องเพิกถอนคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรส ต้องเป็นกรณีคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาและพิพากษาคดีเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และเรียกจำเลยทั้งสามสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12
โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามประกอบกิจการขนส่งให้เข่ารถยนต์โดยสารไม่ประจำทางนำนักท่องเที่ยวไปสถานที่ต่างๆ ภายในประเทศเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2547 สหภาพแรงงานพนักงานขนส่งและการท่องเที่ยวสหภาพแรงงาน เอส ซี บริการ และสหภาพแรงงานโกลเด้นไทยในฐานะผู้แทนลูกจ้างของโจทก์ทั้งสามได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อโจทก์ทั้งสามจำนวน 13 ข้อ แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยต่อมาวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547 จำเลยทั้ง 12 ในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำวินิจฉัยที่ 10/2547 และ 12/2547 ในข้อที่ยังตกลงกันไม่ได้ 7 ข้อ โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของจำเลยทั้ง 12 ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 050/2547 ,051/2547 และ052/2547 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2547 ว่า คำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสิบสองถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ให้ยกอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสิบสองและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานดังกล่าวในข้อ 3 ที่ให้โจทก์ทั้งสามปรับเพิ่มเงินเดือนพื้นฐานให้พนักงานขับรถที่ไม่ได้กระทำความผิดและถูกลงโทษทางวินัยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3 ของเงินเดือนพื้นฐาน ข้อ 4 ที่ให้โจทก์ทั้งสามจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่พนักงานขับรถที่ได้มอบหมายให้ไปปฏิบัติงานต่างจังหวัดในลักษณะเหมาะจ่ายคืนละ 100 บาท ข้อ 5 ที่ให้โจทก์ทั้งสามจ่ายเงินโบนัสแก่พนักงานขับรถที่ไม่ได้กระทำความผิดและถูกลงโทษทางวินัยในสัดส่วนเท่ากับที่โจทก์ทั้งสามจ่ายให้พนักงานประจำสำนักงานและพนักงานซ่อมบำรุง และข้อ 6 ที่ให้โจทก์ทั้งสามจ่ายค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่พนักงานขับรถในลักษณะเหมาจ่ายคนละ 150 บาทต่อเดือน ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 10/2547, 11/2547 และ12/2547 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ 050/2547 , 051/2547 และ 052/2547
จำเลยทั้งสิบสองทั้งสามสำนวนให้การว่า จำเลยทั้งสิบสองดำเนินการ สอบสวนพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามและสหภาพแรงงานของบริษัทโจทก์ทั้งสามถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และกระทำไปโดยสุจริต คำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสิบสองดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและถึงที่สุดตามมาตรา 25 (ที่ถูก มาตรา 23) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลาง ฟังข้อเท็จจริงว่า คดีสืบเนื่องมาจากสหภาพแรงงานพนักงานขนส่งและการท่องเที่ยว (ที่ถูกรวมถึงสหภาพแรงงาน เอส ซี บริการ และสหภาพแรงงานโกลเด้นไทยด้วย) ในฐานะผู้แทนลูกจ้างของโจทก์ทั้งสามได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อบริษัทโจทก์ทั้งสามรวม 13 ข้อ แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงเสนอเรื่องให้คณะกรรมการแรงสัมพันธ์ ซึ่งภายหลังได้มีคำวินิจฉัยที่ 10/2547, 11/2547 และ12/2547 โจทก์ทั้งสามยื่นอุทธรณ์คัดค้านไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 050/2547 (ที่ถูกรวมถึงคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 051/2547 และ 052/2547 ด้วย) ยืนตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แล้ว ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เมื่อมีการเรียกร้องให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็มีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการตามที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ได้กำหนดไว้จนกระทั่งมีคำวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทจากจำเลยทั้งสิบสองซึ่งเป็นคณะบุคคลดังที่ระบุไว้ในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และตามวรรคสองของมาตรา 25 ดังกล่าว ยังได้บัญญัติให้คำชี้ขาดของคณะบุคคลนั้นให้เป็นที่สุด (ที่ถูกกรณีคดีนี้เป็นที่สุดตามมาตรา 23) ซึ่งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างจะต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้น จึงไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์คัดค้านหรือดำเนินการในศาลแรงงานได้อีก แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสามที่จะฟ้องกล่าวหาว่าคำชี้ขาดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้แต่ข้อที่ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ฟังข้อเท็จจริงหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่มีพยานหลักฐานหรือไม่มีเหตุผลเพียงพอสนับสนุนหรือฟังขัดแย้งต่อพยานหลักฐานหรือไม่ได้เป็นไปโดยสุจริต แต่โจทก์ทั้งสามไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้ตามเงื่อนไขดังกล่าว โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีอำนาจนำคดีมาสู่ศาลดังนั้น คำวินิจฉัยของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่โจทก์ทั้งสามขอให้เพิกถอนนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสาม เห็นได้ว่าศาลแรงงานกลางไม่ได้ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสามที่จะฟ้องกล่าวหาว่าคำวินิจฉัยต่างๆ ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างไร แต่เหตุผลที่ศาลแรงงานกลางยกฟ้องโจทก์ทั้งสามก็เนื่องจากโจทก์ทั้งสามไม่สามารถนำสืบพยานให้ศาลแรงงานกลางเห็นได้ว่า จำเลยทั้งสิบสองในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ฟังข้อเท็จจริงหรือใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานไม่ชอบอย่างไร และไม่สุจริตต่างหาก ซึ่งตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามก็หาได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางในส่วนนี้แต่ประการใด แต่กลับอุทธรณ์โต้แย้งเป็นทำนองว่า การตีความมาตรา 25 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ว่า คำชี้ขาดของคณะบุคคลคณะใดคณะหนึ่งที่รัฐมนตรีจะได้กำหนดหรือแต่งตั้งตามมาตรา 25 วรรคหนึ่ง ให้เป็นที่สุดนั้น เป็นคำสั่งทางปกครองที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 26 ว่าการใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐ ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และโต้แย้งว่าพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 หมวดที่ 2 ว่าด้วยวิธีระงับข้อพิพาทมาตรา 21 ถึงมาตรา 33 ก็ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดไว้โดยชัดเจนว่า คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เป็นที่สุด และต้องห้ามใช้สิทธินำคดีไปสู่กระบวนการยุติธรรม โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิขอเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานดังกล่าวตามฟ้องได้เท่านั้นอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามจึงไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางในเหตุผลที่ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่กลับนำเรื่องอำนาจฟ้องที่ศาลแรงงานกลางไม่ได้ตัดสิทธิมาอุทธรณ์ ทั้งยกเรื่องที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางมาเป็นข้ออุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสาม จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสาม