คำพิพากษาฎีกา 2562/2552
ทำงานไม่ครบ 12 เดือน ใช้สิทธิประกันตนตามมาตรา 39 ไม่ได้ /ประกันสังคมรับเงินตามมาตรา 39ไว้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนางสะอาด วิบูลย์อรรถผู้ประกันตน ซึ่งได้ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 33 ต่อมานางสะอาดออกจากงานจึงสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และส่งเงินสมทบตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2548 ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2548 นางสะอาดถึงแก่ความตาย โจทก์ขอรับเงินประโยชน์ทดแทนในกรณีถึงแก่ความตายเป็นเงิน 30,000 บาท แต่จำเลยอ้างว่านางสะอาดส่งเงินสมทบไม่ครบ 12 เดือน จึงไม่ได้เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมีคำสั่งให้คืนเงินสมทบที่เก็บมาเฉพาะกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพแก่ทายาทของผู้ประกันตนซึ่งไม่เต็มจำนวนจากที่นางสะอาดได้ส่งเป็นเงินสมทบ ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1768/2548 และให้จำเลยจ่ายเงินค่าทำศพ 30,000 บาท และคืนเงินสมทบในส่วนที่ส่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 ถึงเดือนกรกฎาคม 2548 พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นางสะอาด วิบูลย์อรรถ เคยส่งเงินสมทบตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2541 ถึงเดือนมกราคม 2542 ในฐานะผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 33 เพียง 9 เดือน ไม่ครบ 12 เดือน ตามเงื่อนไขที่มาตรา 39 กำหนด และได้ถึงแก่ความตายเกินกว่าหกเดือนหลังสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 จึงไม่ได้รับสิทธิตามมาตรา 38 วรรคสอง ส่วนเงินสมทบที่นางสะอาดนำส่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 ถึงเดือนกรกฎาคม 2548 นางสะอาดไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งแต่ได้ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน คณะกรรมการอุทธรณ์ของจำเลยจึงได้พิจารณาคืนเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพแก่ทายาทของนางสะอาดตามแนวปฏิบัติซึ่งชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงขอสละข้อเรียกร้องอื่นยกเว้นเพียงขอให้จำเลยคืนเงินสมทบที่นางสะอาดส่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 ถึงเดือนกรกฎาคม 2548 พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า นางสะอาด วิบูลย์อรรถ เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งเป็นลูกจ้างของสถานประกอบกิจการร่วมค้าที ซี เค ที (ที่ถูก บีซีเคที) เข้าทำงานวันที่ 13 พฤษภาคม 2541 สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างวันที่ 25 มกราคม 2542 และส่งเงินสมทบตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2541 ถึงเดือนมกราคม 2542 เป็นเวลา 9 เดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2542 นางสะอาดได้ยื่นแบบแสดงความจำนงขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสุรินทร์ได้อนุมัติให้เป็นผู้ประกันตนมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2542 นางสะอาดได้ส่งเงินสมทบตามมาตรา 39 มาโดยตลอดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 ถึงเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นเงินทั้งสิ้น 24,030 บาท ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2548 นางสะอาดถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของนางสะอาดและเป็นผู้จัดการศพได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย จำเลยได้ตรวจสอบฐานข้อมูลเงินสมทบแล้วเห็นว่า นางสะอาดไม่ได้เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จึงมีคำสั่งประโยชน์ทดแทนว่าไม่มีสิทธิได้รับค่าทำศพ แต่เห็นควรให้คืนเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพแก่ทายาทเป็นเงิน 16,920.48 บาท จำเลยได้เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลสุรินทร์ปีละ 1,100 บาท เป็นเวลา 7 ปี เป็นเงิน 7,700 บาท หากคำนวณอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากยอดเงินที่ชำระแต่ละยอด นับตั้งแต่วันที่นางสะอาดชำระถึงวันฟ้องรวมเป็นดอกเบี้ยทั้งสิ้น 5,828.27 บาท แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยรับเงินสมทบไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นการทำให้นางสะอาดเสียเปรียบซึ่งเป็นลาภมิควรได้จึงต้องคืนเงินสมทบเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยจำเลยไม่มีสิทธิหักเงิน 7,700 บาท ที่จำเลยเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลสุรินทร์เนื่องจากจำเลยรับเงินสมทบไว้โดยไม่สุจริต พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 29,858.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 24,030 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยรับเงินสมทบจากนางสะอาด วิบูลย์อรรถไว้โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายและรับไว้โดยสุจริตอันเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายจำนวน 7,700 บาท ที่จำเลยจ่ายให้แก่โรงพยาบาลตามสิทธิเพื่อคุ้มครองสิทธิของนางสะอาดในฐานะผู้ประกันตนหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 39 วรรคหนึ่ง บัญญัติหลักเกณฑ์ไว้ชัดเจนว่า "ผู้ใดเคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โดยจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบสองเดือน และต่อมาความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงตามมาตรา 38 (2) ถ้าผู้นั้นประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไป ให้แสดงความจำนงต่อสำนักงานตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนดภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน" ดังนั้น เมื่อนางสะอาดซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จ่ายเงินสมทบมาเพียง 9 เดือน ก่อนสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างอันทำให้ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สิ้นสุดลงตามมาตรา 38 (2) นางสะอาดจึงไม่อาจเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้ การที่จำเลยอนุมัติให้นางสะอาดเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิรับเงินสมทบที่นางสะอาดนำส่งตามมาตรา 39 วรรคสาม การที่จำเลยรับเงินสมทบดังกล่าวไว้จึงเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ซึ่งจำเลยเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 จำเลยจึงมีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของบุคคลผู้ที่ประสงค์จะเข้าเป็นผู้ประกันตนตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่บุคคลนั้นแสดงความประสงค์ขอเข้าเป็นผู้ประกันตน มิใช่อนุมัติให้ทันทีโดยไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติก่อน แล้วมาทำการตรวจสอบในภายหลังเมื่อมีการขอรับประโยชน์ทดแทนส่วนอื่นๆ ดังที่จำเลยอุทธรณ์ การที่จำเลยละเลยหน้าที่ดังกล่าวจะไม่ว่าด้วยเหตุที่อ้างว่าเพื่อความรวมเร็วให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทันทีในส่วนความคุ้มครองด้านการรักษาพยาบาลดังที่จำเลยอุทธรณ์หรือด้วยเหตุใดก็ตามย่อมเป็นการละเลยหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นการประพฤติมิชอบ ถือได้ว่าจำเลยรับเงินสมทบดังกล่าวจากนางสะอาดไว้โดยไม่สุจริต จำเลยจึงไม่อาจหักค่าใช้จ่ายจำนวน 7,700 บาท ไว้ได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน