คำพิพากษาฎีกา 4811 – 4813 /2552
คณะกรรมการดำเนินงานสหกรณ์แต่งตั้งประธานคณะกรรมการมีผลบังคับใช้ได้
คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลแรงงานภาค 4 สั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่าจำเลย
โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2531 โจทก์ที่ 1 สมัครงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการ อัตราเงินเดือน 26,080 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2523 โจทก์ที่ 2 สมัครงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าสินเชื่อ อัตราเงินเดือน 23,005 บาท เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2538 โจทก์ที่ 3 สมัครเป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อ อัตราเงินเดือน 9,850 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2547 จำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ทั้งสามออกจากงานโดยให้เหตุผลว่าโจทก์ทั้งสามกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง คือทุจริตต่อหน้าที่ จงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของสหกรณ์และประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่เป็นเหตุให้สหกรณ์เสียหายอย่างร้ายแรงซึ่งโจทก์ทั้งสามมิได้กระทำความผิด โจทก์ทั้งสามถูกลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสี ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนางบุปผา ชอบใช้ และคณะกรรมการดำเนินการของจำเลย จำเลยไม่มีสิทธิไม่มีอำนาจสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรง ทั้งไม่มีสิทธิไม่มีอำนาจลงโทษไล่โจทก์ทั้งสามเนื่องจากนางบุปผา ประธานกรรมการดำเนินการของจำเลยซึ่งเป็นผู้ลงนามในคำสั่งของจำเลยเรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงโจทก์ทั้งสามและลงนามในคำสั่งของจำเลยเรื่องลงโทษเจ้าหน้าที่โดยการไล่โจทก์ทั้งสามออกนั้น ศาลปกครองขอนแก่นพิพากษาว่าการสมัครรับเลือกตั้งของนางบุปผาประธานกรรมการดำเนินการของจำเลยเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2547 ตามคำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่นคดีหมายเลขดำที่ 169/2547 คดีหมายเลขแดงที่ 296/2547 เป็นผลให้คำสั่งของจำเลยให้สอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงโจทก์ทั้งสามกับคำสั่งของจำเลยให้ไล่โจทก์ทั้งสามออกไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสามขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสามเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราเงินเดือนเดิมและหากรับโจทก์ทั้งสามเข้าทำงานไม่ได้ ในการที่จำเลยไล่โจทก์ทั้งสามออกจากงานโจทก์ทั้งสามถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ที่ 1 ขอเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยคิดจากอัตราเงินเดือนสุดท้ายจำนวน 14 เดือน คิดเป็นเงิน 365,120 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยคิดจากอัตราเงินเดือนสุดท้ายจำนวน 1 เดือน เป็นเงิน 26,080 บาท โจทก์ที่ 1 ทำงานกับจำเลยติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป โจทก์ที่ 1 มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยจากจำเลยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน คิดเป็นเงิน 260,800 บาท โจทก์ที่ 2 ขอเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยคิดจากอัตราเงินเดือนสุดท้ายจำนวน 12 เดือน คิดเป็นเงิน 276,060 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยคิดจากอัตราเงินเดือนสุดท้ายจำนวน 1 เดือน เป็นเงิน 23,005 บาท โจทก์ที่ 2 ทำงานกับจำเลยติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป โจทก์ที่ 2 มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยจากจำเลยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน คิดเป็นเงิน 230,050 บาท โจทก์ที่ 3 ขอค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยคิดอัตราเงินเดือนสุดท้ายจำนวน 12 เดือน คิดเป็นเงิน 118,200 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยคิดจากอัตราเงินเดือนสุดท้ายจำนวน 1 เดือน เป็นเงิน 9,850 บาท โจทก์ที่ 3 ทำงานกับจำเลยติดต่อกันได้เกิน 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี โจทก์ที่ 3 มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยจากจำเลยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน คิดเป็นเงิน 78,800 บาท และโจทก์ที่ 1 ได้นำ น.ส.3ก. เลขที่ 1449 ตำบลโนนท่อน อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 100 ตารางวา มาวางเป็นหลักประกันการทำงานกับจำเลย และโจทก์ที่ 2 ได้นำเงินจำนวน 48,928.98 บาท มาวางเป็นหลักประกันการทำงานกับจำเลย และโจทก์ที่ 3 ได้นำเงินจำนวน 21,315.81 บาท มาวางเป็นหลักประกันการทำงานกับจำเลย ขอให้เพิกถอนคำสั่งจำเลยและให้รับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานตามเดิมอัตราเงินเดือนและตำแหน่งเดิม หากรับไม่ได้ขอให้จ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 260,800 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 230,050 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 78,800 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 365,120 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 276,060 บาท และให้แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 118,200 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 260,800 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 23,005 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 9,850 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินทั้งหมดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์ทั้งสามแล้วเสร็จให้จำเลยคืนหลักประกันให้โจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยรับว่าโจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างของจำเลยจริง ซึ่งจำเลยประกอบกิจการเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นจำกัด บริหารงานโดยคณะกรรมการดำเนินการ สำหรับคดีนี้คณะกรรมการดำเนินการได้มอบอำนาจให้นางบุปผา ชอบใช้ และหรือนายสมเกียรติ แพทย์ประดิษฐ์ เป็นผู้รับมอบอำนาจเกี่ยวกับการต่อสู้คดีแทนจำเลย จำเลยบริหารงานโดยคณะกรรมการดำเนินการภายใต้ข้อบังคับ ระเบียบของจำเลยซึ่งได้จดทะเบียนต่อนายทะเบียนสหกรณ์ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2542 และอยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ สำหรับคำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น คดีหมายเลยแดงที่ 296/2547 จำเลยไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวและคำพิพากษาจะไม่ผูกพันบุคคลภายนอกอีกทั้งระเบียบการสรรหาประธานกรรมการ กรรมการดำเนินการและผู้ตรวจสอบกิจการของจำเลยนั้นก็เป็นระเบียบภายในไม่ใช่กฎหมายทั่วไป เมื่อคณะกรรมการเลือกตั้งภายหลังได้จัดให้มีการเลือกตั้งและนางบุปผา เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานกรรมการดำเนินการจึงสมบูรณ์ อีกทั้งคดีศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด โจทก์ทั้งสามมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบของจำเลยโดยโจทก์ที่ 1 มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ โจทก์ที่ 2 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อและโจทก์ที่ 3 มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อ โดยโจทก์ทั้งสามได้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่จงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยอย่างร้ายแรงกล่าวคือไม่ปฏิบัติตามระเบียบสหกรณ์ว่าด้วยการให้เงินกู้ พ.ศ.2545 ข้อ 8 "การส่งเงินงวดชำระหนี้เงินกู้ทุกประเภท ดอกเบี้ยเงินกู้และเงินค่าหุ้นรายเดือนของสมาชิกรวมกันจะต้องไม่เกินร้อยละ 80 ของเงินรายเดือนของสมาชิกนั้น" ซึ่งโจทก์ทั้งสามมีหน้าที่รับผิดชอบ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ว่าด้วยการให้สหกรณ์ประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ถือปฏิบัติในเรื่องการให้เงินกู้แก่สมาชิก พ.ศ.2542 ข้อ 4 "เงินกู้พิเศษห้ามไม่ให้ใช้บุคคลเป็นผู้ค้ำประกันโดยเด็ดขาด" ซึ่งโจทก์ทั้งสามมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบ ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับสหกรณ์ ข้อ 74 (2) "ตรวจสอบควบคุมให้เงินกู้มีหลักประกันตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสหกรณ์และเมื่อเห็นว่าหลักประกันสำหรับเงินกู้รายใดเกิดบกพร่องก็ต้องกำหนดให้ผู้กู้จัดการแก้ไขให้คืนดี" ซึ่งโจทก์ทั้งสามมีหน้าที่รับผิดชอบ จากการกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของโจทก์ทั้งสาม ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 61,907,880 บาท ซึ่งจำเลยได้ฟ้องคดีต่อศาลแขวงขอนแก่นและศาลจังหวัดขอนแก่นให้โจทก์ทั้งสามร่วมรับผิดชดใช้เงินแก่จำเลยที่ศาลแขวงขอนแก่น จำนวน 65 คดี และสำนวนคดีของศาลจังหวัดขอนแก่น จำนวน 89 คดี จำเลยได้เลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินการใหม่แทนชุดเก่าซึ่งหมดวาระในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2548 การเลิกจ้างจำเลยได้ทำตามขั้นตอนและข้อบังคับและระเบียบของจำเลย คณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามหลักฐานของผู้ตรวจการสหกรณ์และเอกสารทั้งหมดสรุปได้ว่า โจทก์ทั้งสามได้กระทำการขัดต่อวินัยอย่างร้ายแรงทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง จึงมีมติลงโทษโจทก์ทั้งสามโดยการไล่ออกจำเลยไล่โจทก์ทั้งสามออกเป็นการกระทำอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าทดแทนกรณีเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้งสาม ในการบรรจุและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ลูกจ้างของจำเลยต้องทำสัญญาไว้เป็นหลักฐานและมีหลักประกันอย่างใดอย่างหนึ่งไว้เป็นประกันความเสียหาย จำเลยได้ฟ้องโจทก์ทั้งสามให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นกรณีละเมิดระหว่างที่โจทก์ทั้งสามปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงหลักประกันของโจทก์ทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 4 พิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอน คำสั่งของจำเลยที่ 18/2547 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอย่างร้ายแรง ตามเอกสารหมาย ล.15 และคำสั่งของจำเลยที่ 36/2547 เรื่อง การลงโทษเจ้าหน้าที่โดยการไล่ออกตามเอกสารหมาย ล.17 และให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยโดยเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2531 โจทก์ที่ 1 สมัครเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการ อัตราเงินเดือน 26,080 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2523 โจทก์ที่ 2 สมัครงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าสินเชื่อ อัตราเงินเดือน 23,005 บาท เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2538 โจทก์ที่ 3 สมัครเป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อ อัตราเงินเดือน 9,850 บาท โจทก์ทั้งสามมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของสหกรณ์ตามระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำกัด เอกสารหมาย ล.5 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2546 คณะผู้ตรวจการสหกรณ์ได้ตรวจสอบกิจการและฐานะการเงินของจำเลยกรณีนางละมุน จำปาทอง ได้ร้องเรียนว่าหลักทรัพย์ที่จำนองไว้กับจำเลยได้หายไปปรากฏตามผลการตรวจเอกสารประกอบการพิจารณาเงินกู้พิเศษหมาย ล.9 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 คณะผู้ตรวจการสหกรณ์ได้ตรวจสอบกิจการและฐานะการเงินของจำเลย พบว่ามีข้อบกพร่องตามหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องและแบบรายงานการตรวจสอบกิจการและฐานะการเงินเอกสารหมาย ล.10 และ ล.11 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2546 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองขอนแก่นได้ทำการตรวจค้นและยึดเอกสารต่างๆ จากจำเลยเพื่อไปประกอบการสอบสวนโดยแจ้งว่านางลำพูน หร่องบุตรศรี กับพวกซึ่งเป็นสมาชิกของจำเลยจำนวนหนึ่งได้กล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสามกับพวกกระทำความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ปรากฏตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์ หนังสือแจ้งความผิดในคดีอาญาที่เกี่ยวกับเรื่องการทุจริตฉ้อโกงและทะเบียนรายชื่อสมาชิกที่โจทก์ทั้งสามทำให้สหกรณ์เสียหาย เอกสารหมาย ล.12 ถึง ล.14 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2547 จำเลยได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอย่างร้ายแรงตามเอกสารหมาย ล.15 กรรมการสอบวินัยอย่างร้ายแรงได้แจ้งผลการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงให้แก่คณะกรรมการดำเนินการตามเอกสารหมาย ล.16 ต่อมาเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2547 นางบุปผา ชอบใช้ ประธานกรรมการดำเนินการของจำเลยได้มีคำสั่งลงโทษโจทก์ทั้งสามโดยการไล่ออกตามเอกสารหมาย ล.17 ต่อมาจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสามกับพวกให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยต่อศาลแขวงขอนแก่น จำนวน 63 คดี และศาลจังหวัดขอนแก่น จำนวน 91 คดี รวมเป็นทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 59,971,887.51 บาท ตามเอกสารหมาย ล.18 นายอาคม อึ่งพวง ฟ้องสหกรณ์จังหวัดขอนแก่นต่อศาลปกครองขอนแก่นคัดค้านคำวินิจฉัยของสหกรณ์จังหวัดขอนแก่นที่วินิจฉัยว่านางบุปผาเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำกัด ได้ และศาลปกครองได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของสหกรณ์จังหวัดขอนแก่นตามหนังสือสำนักงานสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ที่ ขก.001/1022 ลงวันที่ 22 เมษายน 2547 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่มีหนังสือฉบับดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.1
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คำสั่งของจำเลยเรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงกับโจทก์ทั้งสามและคำสั่งไล่โจทก์ทั้งสามออก เป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ในการดำเนินกิจการของสหกรณ์ กฎหมายกำหนดให้มีคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ ประกอบด้วยประธานกรรมการดำเนินการและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบสี่คน ตามกฎหมายและข้อบังคับของจำเลย กำหนดให้คณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์เป็นผู้ดำเนินกิจการและเป็นผู้แทนสหกรณ์ในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก การที่ศาลแรงงานภาค 4 พิจารณาตามคำพิพากษาศาลปกครอง และวินิจฉัยว่า นางบุปผา ชอบใช้ ประธานกรรมการของจำเลยลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงกับโจทก์ทั้งสามเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมายนั้นเป็นการวินิจฉัยเฉพาะในส่วนของนางบุปผาโดยมิได้พิจารณาว่าสหกรณ์จำเลยดำเนินการและบริหารงานในรูปแบบของคณะกรรมการดำเนินการ ซึ่งต้องเป็นไปตามติเสียงข้างมาก ดังนั้น ที่นางบุปผาลงนามในคำสั่งดังกล่าวเป็นการลงนามในฐานะประธานกรรมการดำเนินการของจำเลยซึ่งเป็นเพียงตัวแทนในการแสดงเจตนาของคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยเท่านั้น แม้ต่อมาศาลปกครองจะพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยของสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ที่ ขก.0010/022 ลงวันที่ 22 เมษายน 2547 และถือว่านางบุปผาเป็นประธานกรรมการดำเนินการของจำเลยโดยไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมายก็เป็นการเสียไปเฉพาะบุคคลเฉพาะตำแหน่งไม่กระทบถึงความสมบูรณ์ของมติคณะกรรมการดำเนินการของจำเลย และถึงแม้ว่าที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการจะลงมติขัดกับระเบียบสหกรณ์ แต่ที่ประชุมมิได้รู้ถึงเหตุแห่งการฝ่าฝืนระเบียบและการประชุมในคราวนั้นยังมิได้ถูกเพิกถอนมติ การเลิอกตั้งประธานกรรมการ คณะกรรมการดำเนินการชุดที่มีนางบุปผาเป็นประธานดังกล่าวจึงเป็นคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยที่ชอบด้วยกฎหมายและมีอำนาจดำเนินกิจการแทนจำเลยได้ คำสั่งของจำเลยเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงกับโจทก์ทั้งสามและคำสั่งไล่โจทก์ทั้งสามออก จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประกอบกิจการเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ การบริหารงานหรือการดำเนินกิจการในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกของสหกรณ์กระทำโดยคณะกรรมการดำเนินการตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2542 มาตรา 51 และตามข้อบังคับและระเบียบของสหกรณ์ออมทรัพย์จำเลย เอกสารหมาย ล.22 ข้อ 65 มิใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยได้ ดังนั้น ที่โจทก์ทั้งสามฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรง ทั้งไม่มีอำนาจลงโทษไล่โจทก์ทั้งสามออก เนื่องนางบุปผา ประธานคณะกรรมการดำเนินการของจำเลย ซึ่งเป็นผู้ลงนามในคำสั่ง ถูกศาลปกครองพิพากษาว่าการสมัครรับเลือกตั้งของนางบุปผา เป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย เป็นผลให้คำสั่งของจำเลยดังกล่าวไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมายดัวยนั้น โดยโจทก์ทั้งสามต้องพิสูจน์ให้ฟังได้ว่า คณะกรรมการดำเนินการของจำเลยชุดที่ 25 ซึ่งมีนางบุปผาเป็นประธานคณะกรรมการเข้ามาเป็นคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่โจทก์ทั้งสามนำสืบแต่เพียงว่า ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของสหกรณ์จังหวัดขอนแก่นที่ ขก.0010/022 ลงวันที่ 22 เมษายน 2547 ซึ่งมีไปถึงจำเลย เนื่องจากสหกรณ์จังหวัดขอนแก่นไม่มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยในปัญหาที่จำเลยหารือไปเท่านั้น และคำพิพากษาดังกล่าวมีผลเท่ากับสหกรณ์จังหวัดขอนแก่นไม่ได้ตอบข้อหารือของจำเลย เมื่อจำเลยได้จัดให้มีการเลือกตั้งประธานคณะกรรมการดำเนินการ และกรรมการอื่นของจำเลยต่อมา ผลของการเลือกตั้งจะถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับของจำเลยหรือไม่ หากโจทก์ทั้งสามเห็นว่าการที่นางบุปผาสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสามต้องฟ้องร้องต่อศาลและนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ข้ออ้างดังกล่าวแต่คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องแต่เพียงว่า “จำเลยไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิด... เนื่องจากนางบุปผา ถูกศาลปกครองขอนแก่นพิพากษาว่า การสมัครรับเลือกตั้งของนางบุปผา เป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย...เป็นผลให้คำสั่งของจำเลยที่ให้สอบสวนความผิด...โจทก์ทั้งสามไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย” คดีจึงไม่มีประเด็นว่า นางบุปผา สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และโจทก์ทั้งสามไม่ได้ฟ้องว่า จำเลยไม่มีสิทธิหรือไม่มีอำนาจสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงทั้งไม่มีอำนาจลงโทษไล่โจทก์ทั้งสามออกเพราะเหตุอื่นอีก จึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ดังนั้น เมื่อสหกรณ์ออมทรัพย์จำเลยได้จัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินการ ชุดที่ 25 นางบุปผาและพวกได้รับเลือกตั้งเข้ามาโดยที่ประชุมใหญ่ของจำเลย คณะกรรมการดำเนินการของจำเลยชุดนี้จึงมีอำนาจดำเนินกิจการต่างๆ แทนจำเลยได้ และคณะกรรมการดำเนินการชุดดังกล่าวได้ประชุมกันแล้วลงมติให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงกับโจทก์ทั้งสามและมีคำสั่งลงโทษโจทก์ทั้งสามโดยมีนางบุปผาประธานคณะกรรมการดำเนินการเป็นผู้ลงนามกระทำการแทนจำเลยจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและคดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นในประเด็นข้อนี้อีกต่อไปที่ศาลแรงงานภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
เมื่อคดีฟังได้ว่า คำสั่งของจำเลยที่แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดและสอบวินัยอย่างร้ายแรงกับโจทก์ทั้งสามและคำสั่งไล่โจทก์ทั้งสามออกเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย คดีจึงต้องวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาท ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5 ต่อไป ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค 4 พิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 4 ให้ศาลแรงงานภาค 4 พิจารณาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาท ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี