คำพิพากษาฎีกา 2563 - 2565/2552
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระบุเวลาพักย่อยแต่ไม่ระบุสถานที่นั่งพัก นายจ้างสามารถกำหนดสถานที่พักได้ตามความเหมาะสม
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3
โจทก์ทั้งสามฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างของจำเลยทำหน้าที่เจียระไนเพชร วันเข้าทำงานและอัตราค่าจ้างปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แต่ละคนกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยประกอบกิจการเจียระไนเพชรเพื่อการส่งออกมีลูกจ้าง 340 คน วันทำงานคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลาทำงานปกติ 7.30 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา เวลาพัก 12 นาฬิกา ถึง 13นาฬิกา และเวลาพักย่อย 9.45 นาฬิกา ถึง 10 นาฬิกา และ 15 นาฬิกา ถึง 15.15 นาฬิกา การพักย่อยดังกล่าวเป็นไปตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 20 มกราคม 2546 ซึ่งเกิดจากการที่สหภาพแรงงานเจียระไนเพชรแห่งประเทศไทยยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลย โดยทางปฏิบัติลูกจ้างจะพักย่อยที่โรงอาหาร โจทก์ทั้งสามเป็นสมาชิกและกรรมการสหภาพแรงงานดังกล่าว ต่อมาจำเลยยื่นข้อเรียกร้องโดยขอปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานเกี่ยวกับการพักย่อยแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จำเลยจึงประกาศเปลี่ยนเวลาพักย่อยเป็นเวลาทำงานปกติและสั่งห้ามโจทก์ทั้งสามพักย่อยที่โรงอาหารโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเปิดประตู โจทก์ทั้งสามจึงพักย่อยในอาคารโรงงาน จำเลยลงโทษโจทก์ทั้งสามด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสามละทิ้งหน้าที่ โจทก์ทั้งสามจึงฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง คดีตกลงกันได้โดยจำเลยเพิกถอนคำสั่งลงโทษทั้งหมดให้ถือว่าโจทก์ทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดวินัย หลังจากนั้นจำเลยให้โจทก์ทั้งสามพักย่อยในที่นั่งทำงานแต่โจทก์ทั้งสามยังคงใช้สิทธิพักย่อยที่โรงอาหาร จำเลยจึงปิดประกาศห้ามพนักงานออกนอกบริเวณที่กำหนด โจทก์ทั้งสามจึงพักย่อยในสถานที่พักย่อยของช่างฝีมือผู้ชำนาญการต่อมาจำเลยลงโทษโจทก์ทั้งสามหลายครั้งด้วยการตักเตือนด้วยวาจา ตักเตือนเป็นหนังสือและพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง ในที่สุดจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 และวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ตามลำดับ โจทก์ทั้งสามใช้สิทธิพักย่อยตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยชอบ ไม่ได้ออกนอกสถานที่ทำงานในเวลาทำงาน ไม่ได้ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ไม่ได้จงใจทำงานเฉื่อยไม่ได้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ไม่ได้กระทำความผิด การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามนั่งพักย่อยในที่ทำงาน ไม่ให้พักย่อยนอกสถานที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณต่อโจทก์ทั้งสาม คำสั่งเลิกจ้างของจำเลยเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบและไม่เป็นธรรมขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมและได้สิทธิประโยชน์ตามสภาพการจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม และจ่ายค่าจ้างนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม หากไม่สามารถรับกลับเข้าทำงานได้ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ทั้งสาม และจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ที่ 3 ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม 2534 พร้อมดอกเบี้ยรายละเอียดปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แต่ละคน
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเนื่องจากโจทก์ทั้งสามฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จำเลยกำหนดเวลาทำงานปกติ 7.30 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา เวลาพัก 12 นาฬิกา ถึง 13 นาฬิกา และเวลาพักย่อย 9.45 นาฬิกา ถึง 10 นาฬิกา และ 15 นาฬิกา ถึง 15.15 นาฬิกา ต่อมาจำเลยประกาศยกเลิกเวลาพักย่อยทั้งหมด ลูกจ้างของจำเลยประมาณ 300 คน ยินยอมตามที่จำเลยขอ คงมีเพียงโจทก์ทั้งสามที่ไม่ยินยอมให้ยกเลิกเวลาพักย่อย จำเลยจึงให้โจทก์ทั้งสามพักย่อยตามเดิมแต่ต้องอยู่ภายในบริเวณสถานที่ทำงานของแต่ละคน ห้ามออกจากสถานที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากกิจการของจำเลยมีวัตถุดิบและผลงานเป็นเพชรและอัญมณีมีราคาสูง ต้องมีมาตรการเคร่งครัดและเข้มงวดต่อระเบียบในการตรวจสอบดูแลทรัพย์ จำเลยจึงต้องกำหนดสถานที่พักให้ ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง โจทก์ทั้งสามไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของจำเลยโดยลงไปชั้นล่างและออกนอกบริเวณพื้นที่ไปในสถานที่ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานที่ช่างผู้ชำนาญการช่างฝีมือชาวต่างชาติ พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานแผนกอื่น ไม่ตั้งใจทำงานเต็มความสามารถ (เฉื่อยงาน) แสดงกิริยาวาจาหยาบคายต่อผู้บังคับบัญชา จำเลยตักเตือนด้วยวาจาตักเตือนเป็นหนังสือ และสั่งพักงานหลายครั้ง แต่โจทก์ทั้งสามไม่เชื่อฟัง กระทำความผิดซ้ำคำเตือน จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ก่อนถูกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเคยนำเรื่องที่จำเลยลงโทษทางวินัยไปร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน พนักงานตรวจแรงงานมีคำวินิจฉัยว่าจำเลยลงโทษโจทก์ทั้งสามชอบด้วยระเบียบข้อบังคับ คำสั่งถึงที่สุดขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยประกอบธุรกิจเจียระไนเพชรเพื่อการส่งออก มีลูกจ้างประมาณ 300 คน ลูกจ้างของจำเลยก่อตั้งสหภาพแรงงานเจียระไนเพชรแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2521 (ที่ถูก 2541) โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำงานอยู่แผนกบ็อททอม โจทก์ทั้งสามเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นกรรมการสหภาพแรงงานและเป็นกรรมการลูกจ้างด้วย เดิมจำเลยกำหนดทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 9.30 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกาเวลาพัก 12 นาฬิกา ถึง 13 นาฬิกา หยุดวันเสาร์และวันอาทิตย์ เมื่อปลายปี 2545 สหภาพแรงงานยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลย ผลการเจรจาสามารถตกลงกันได้ จึงทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2546 โดยจำเลยตกลงจัดให้ลูกจ้างพักย่อยช่วงเช้าเวลา 9.45 นาฬิกา ถึง 10 นาฬิกา และช่วงบ่ายเวลา 15 นาฬิกา ถึง 15.15 นาฬิกา เมื่อถึงเวลาพักย่อยจำเลยมีสัญญาณให้ลูกจ้างทุกคนทราบเพื่อออกไปพักย่อยที่โรงอาหาร เมื่อหมดเวลาพักย่อยมีสัญญาณให้ลูกจ้างกลับเข้าทำงานในอาคารโรงงาน วันที่ 17 มกราคม 2547 จำเลยแจ้งข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงานขอเปลี่ยนแปลงการพักย่อยแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ กลางเดือนมิถุนายน 2547 จำเลยจึงให้หัวหน้างานขอความร่วมมือจากลูกจ้างเป็นรายบุคคล ให้ลูกจ้างยินยอมลงชื่อรับเงินเพิ่มเดือนละ 60 บาท แทนการใช้สิทธิพักย่อย ลูกจ้างส่วนใหญ่ยินยอม คงมีโจทก์ทั้งสามกับพวกรวมประมาณ 10 คน ที่ไม่ยอมลงชื่อสละสิทธิพักย่อย ต่อมากลุ่มที่ไม่ยอมลงชื่อกลับใจยอมลงชื่ออีก 5 คน หลังจากวันที่ 30 มิถุนายน 2547 จำเลยงดสัญญาณสำหรับพักย่อย ต่อมาจำเลยประกาศกำหนดให้เวลาพักย่อยเป็นเวลาทำงานปกติแต่โจทก์ทั้งสามกับพวกที่ไม่ยอมลงชื่อคงใช้สิทธิพักย่อยตามเดิม วันที่ 23 และวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 จำเลยสามารถรวบรวมลายมือชื่อลูกจ้างส่วนใหญ่ปลดกรรมการลูกจ้างทั้งคณะออกจากตำแหน่ง โจทก์ทั้งสามจึงพ้นจากตำแหน่งกรรมการลูกจ้าง หลังจากนั้นจำเลยไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสามออกไปพักย่อยที่โรงอาหารแต่โจทก์ทั้งสามยังคงใช้สิทธิออกไปพักที่โรงอาหารตามเดิมจำเลยจึงลงโทษโดยออกหนังสือเตือน โจทก์ทั้งสามฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง ศาลไกล่เกลี่ยแล้วตกลงกันได้โดยจำเลยยินยอมเพิกถอนคำสั่งลงโทษโจทก์ทั้งสามที่สืบเนื่องจากการใช้สิทธิพักย่อยทุกคำสั่งโดยถือว่าโจทก์ทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดทางวินัยมาก่อนกับยินยอมจ่ายค่าจ้างที่หักไว้คืนให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยตกลงให้โจทก์ทั้งสามใช้สิทธิพักย่อยได้ตามเดิม หลังจากตกลงถอนฟ้องแล้วโจทก์ทั้งสามก็ใช้สิทธิพักย่อยตามเดิมโดยไปพักที่โรงอาหาร จำเลยออกคำสั่งไม่ให้โจทก์ทั้งสามออกนอกอาคารโรงงานแต่โจทก์ทั้งสามคงออกไปพักย่อยที่โรงอาหารตามเดิม จำเลยจึงมีคำสั่งลงโทษตักเตือนเป็นหนังสือ โจทก์ทั้งสามคัดค้านคำสั่งลงโทษตักเตือน ต่อมาจำเลยให้พนักงานรักษาความปลอดภัยปิดประตูเข้าออกระหว่างอาคารโรงงานกับโรงอาหาร โจทก์ทั้งสามจึงเดินอยู่ภายในอาคารโรงงานช่วงเวลาพักย่อย จำเลยก็มีคำสั่งลงโทษตักเตือนโจทก์ทั้งสามเป็นหนังสือฐานไม่เชื่อฟังคำสั่งที่ออกนอกบริเวณที่กำหนด ฐานออกนอกสถานที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยยังมีคำสั่งพักงานโจทก์ทั้งสามโดยไม่จ่ายค่าจ้างและไม่จ่ายค่าจ้างในวันลาป่วยโจทก์ทั้งสามร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงาน ต่อมาพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 77/2548 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 และคำสั่งที่ 86/2548 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ว่าโจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างตามคำร้อง โจทก์ทั้งสามทราบคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานแล้วแต่ไม่ได้ฟ้องเพิกถอนคำสั่งภายใน 30 วัน คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานถึงที่สุด จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 และวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ตามลำดับ โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ทั้งสามฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและกระทำความผิดซ้ำคำเตือน รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.7 จ.10 จ.11 จ.15 จ.18 จ.21 ล.1 ล.5 ถึง ล.11 แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2546 จำเลยต้องให้ลูกจ้างพักย่อยวันละ 2 ช่วง ช่วงละ 15 นาที ทำให้เวลาทำงานของลูกจ้างจากเดิมวันละ 9 ชั่วโมงครึ่งต้องลดลงเหลือวันละ 9 ชั่วโมง อันหมายถึงผลงานที่ได้ต้องลดน้อยลงไปด้วย แต่ถ้ามองในด้านลูกจ้างที่ทำงานเจียระไนเพชรซึ่งต้องใช้สายตาจับจ้องอยู่กับชิ้นงานที่ทำงานเป็นเวลานาน การได้พักย่อยนับว่าเป็นประโยชน์ในการทะนุถนอมสมรรถภาพทางสายตาของลูกจ้าง ถือเป็นความจำเป็นเพื่อสุขภาพของลูกจ้างที่นายจ้างควรตระหนัก แต่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างกลับคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว จึงยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงานเจียรไนเพชรแห่งประเทศไทยเพื่อขอยกเลิกการพักย่อยแต่ตกลงกันไม่ได้ จำเลยก็ใช้วิธีให้หัวหน้างานขอความร่วมมือจากลูกจ้างผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นรายบุคคลเพื่อยินยอมลงชื่อสละสิทธิพักย่อยโดยจำเลยจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มให้วันละ 2 บาท เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำลายสหภาพแรงงานโดยอาศัยจุดอ่อนของลูกจ้างที่กลัวว่าจะตกงาน จึงจำยอมตามที่หัวหน้างานขอ โจทก์ทั้งสามและกรรมการสหภาพแรงงานที่ไม่ยอมจึงกลายเป็นคนส่วนน้อยในกลุ่มลูกจ้างด้วยกัน จำเลยก็ลงโทษโจทก์ทั้งสามฐานขัดคำสั่งโดยตักเตือนเป็นหนังสือและพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง โจทก์ทั้งสามจึงต้องฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง ศาลไกล่เกลี่ยแล้วจำเลยยอมเพิกถอนคำสั่งลงโทษที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้สิทธิพักย่อยและจ่ายค่าจ้างที่หักคืนโจทก์ทั้งสามโดยถือว่าโจทก์ทั้งสามไม่เคยกระทำความผิด โจทก์ทั้งสามยอมถอนฟ้อง แต่พอกลับมาทำงานโจทก์ทั้งสามใช้สิทธิพักย่อยก็ถูกจำเลยออกคำสั่งห้ามเช่นห้ามไปพักที่โรงอาหาร ต่อมาก็ห้ามลงไปพักชั้นล่าง ห้ามเดินไปที่แผนกอื่น และในที่สุดก็มีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามพักย่อยตรงบริเวณที่ทำงานเท่านั้น โดยอ้างว่ากิจการของจำเลยเกี่ยวกับอัญมณีมีราคาสูงจำต้องป้องกันความสูญหาย ทั้งที่ลูกจ้างแต่ละคนมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบชิ้นงานที่รับมอบหมายมาทำอยู่แล้ว คำสั่งของจำเลยนั้นเห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์เพื่อบีบบังคับกดดันโจทก์ทั้งสามให้จำยอมสละสิทธิพักย่อยที่ได้มาจากการเรียกร้องจนมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หรือต้องการทำลายสหภาพแรงงาน หรือทำให้กรรมการสหภาพแรงงานหมดความสำคัญสำหรับลูกจ้างอีกต่อไป ดังนั้นคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์ทั้งสามปฏิบัติหรือห้ามปฏิบัติจึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ส่วนโรงอาหารและอาคารโรงงานแม้จะแยกกันแต่ก็ยังอยู่ในบริเวณเดียวกัน ใช้ประตูทางเข้าออกเดียวกันหลังจากทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจำเลยก็ให้ลูกจ้างไปพักย่อยที่โรงอาหารมาตลอดหลังจากที่ลูกจ้างส่วนใหญ่ยอมสละสิทธิพักย่อยตามที่จำเลยขอแล้วโจทก์ทั้งสามจึงใช้สิทธิพักย่อยที่โรงอาหารตามเดิม ยังถือไม่ได้ว่าจงใจทำให้จำเลยผู้เป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย หรือฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการออกจากสถานที่ทำงานตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการทำงาน ข้อ 3.2.3 ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสามจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย หรือจงใจฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมและจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (2) (4) ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามมีพฤติการณ์เสียหายมาก่อนคงมีปัญหาขัดแย้งกับจำเลยอันเนื่องจากโจทก์ทั้งสามเป็นกรรมการสหภาพแรงงานใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเพราะเหตุดังกล่าวจึงไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 จำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ทั้งสามไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าโจทก์ทั้งสามไม่ได้นำสืบถึงรายละเอียดและระเบียบเกี่ยวกับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจึงไม่พิจารณาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี พิพากษาให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานในตำแหน่ง อัตราค่าจ้าง และสิทธิประโยชน์ไม่ต่ำกว่าเดิมโดยนับอายุงานต่อเนื่อง พร้อมทั้งชำระค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงานแก่โจทก์แต่ละคน หากจำเลยไม่ยอมรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสาม และให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ที่ 3 ตามจำนวนในบัญชีท้ายคำพิพากษา พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับค่าชดเชย และอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับเงินอื่นนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จคำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์ทั้งสามฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมซึ่งนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วหรือไม่ และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 20 มกราคม 2546 เอกสารหมาย จ.4 ข้อ 1 ระบุเพียงว่า “บริษัทฯ ตกลงจัดให้มีการพักย่อย 15 นาที เพิ่มเติมจากการหยุดพักปกติโดยให้หยุดช่วงแรกเวลา 9.45 – 10.00 น. และช่วงที่สองเวลา 15.00 - 15.15 น.” เท่านั้น โดยไม่ได้จำกัดว่าจำเลยต้องจัดสถานที่พักย่อยให้เฉพาะที่โรงอาหาร จำเลยจึงอาจจัดสถานที่พักย่อยให้แก่ลูกจ้างได้ตามความจำเป็นและความเหมาะสม ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงสถานที่ ลักษณะการทำงาน และจำนวนลูกจ้าง เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน อีกทั้งกิจการของจำเลยเป็นกิจการเกี่ยวกับการเจียระไนเพชรซึ่งมีราคาสูงและโดยสภาพมีขนาดเล็กสามารถลักลอบพกพาออกไปได้สะดวก จึงอาจจำต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อทรัพย์สินของจำเลยด้วย ซึ่งในคดีที่โจทก์ทั้งสามฟ้องต่อศาลแรงงานกลางและศาลไกล่เกลี่ยแล้วจำเลยตกลงเพิกถอนคำสั่งที่เคยลงโทษโจทก์ทั้งสามเกี่ยวกับเรื่องการพักย่อยทุกคำสั่งโดยถือว่าโจทก์ทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดทางวินัยมาก่อนและให้โจทก์ทั้งสามใช้สิทธิพักย่อยได้ โจทก์ทั้งสามจึงถอนฟ้องตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 เอกสารหมาย จ.15 จ.18 และ จ.21 หรือ ล.4 ซึ่งตามรายงานกระบวนพิจารณาก็ระบุเพียงว่าจำเลยตกลงให้โจทก์ทั้งสามใช้สิทธิพักย่อยได้ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 20 มกราคม 2546 มิได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าให้โจทก์ทั้งสามไปพักย่อยที่โรงอาหาร ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาปรากฏว่าหลังจากนั้นจำเลยออกคำสั่งไม่ให้โจทก์ทั้งสามออกนอกอาคารโรงงานแต่โจทก์ทั้งสามคงออกไปพักย่อยที่โรงอาหารตามเดิม จำเลยจึงมีคำสั่งลงโทษตักเตือนเป็นหนังสือ ต่อมาจำเลยให้พนักงานรักษาความปลอดภัยปิดประตูเข้าออกระหว่างอาคารโรงงานกับโรงอาหารโจทก์ทั้งสามจึงเดินอยู่ภายในอาคารโรงงานช่วงเวลาพักย่อย จำเลยก็มีคำสั่งลงโทษตักเตือนโจทก์ทั้งสามเป็นหนังสือฐานไม่เชื่อฟังคำสั่งที่ออกนอกบริเวณที่กำหนด ฐานออกนอกสถานที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยยังมีคำสั่งพักงานโจทก์ทั้งสามโดยไม่จ่ายค่าจ้างและไม่จ่ายค่าจ้างในวันลาป่วย โจทก์ทั้งสามร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงานซึ่งพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 77/2548 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 และคำสั่งที่ 86/2548 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ตามเอกสารหมาย ล.9 และ ล.10 ว่าจำเลยจึงมีสิทธิลงโทษพักงานโจทก์ทั้งสามโดยไม่จ่ายค่าจ้างได้ และคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานถึงที่สุด ปรากฏว่าหลังจากนั้นโจทก์ทั้งสามก็ยังคงออกไปพักย่อยนอกบริเวณที่กำหนดและจำเลยมีหนังสือเตือนโจทก์ทั้งสามหลายครั้ง ในที่สุดจำเลยจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสาม การที่ไม่มีข้อตกลงไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยจะต้องจัดสถานที่พักย่อยให้แก่ลูกจ้างที่โรงอาหาร และการจัดสถานที่พักย่อยจะต้องคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสมดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น ทั้งศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยไว้ว่าการพักย่อยเป็นการถนอมสมรรถภาพทางสายตาของลูกจ้าง ดังนั้นแม้ว่าจำเลยจะเคยให้ลูกจ้างออกจากอาคารโรงงานไปพักย่อยที่โรงอาหาร แต่เมื่อลูกจ้างของจำเลยเกือบทั้งหมดประมาณ 300 คน สละสิทธิพักย่อยโดยขอรับเงินเพิ่มเดือนละ 60 บาท แทน ดังนั้นในขณะที่โจทก์ทั้งสามพักย่อยลูกจ้างของจำเลยเกือบทั้งหมดจึงอยู่ระหว่างการทำงาน และเวลาพักย่อยแต่ละช่วงมีเพียง 15 นาที เท่านั้น ทั้งเป็นเพียงการพักสายตาซึ่งสามารถพักในบริเวณที่นั่งทำงานได้การที่จำเลยเปลี่ยนที่พักย่อยให้โจทก์ทั้งสามพักเฉพาะในบริเวณที่กำหนดจึงไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง เมื่อโจทก์ทั้งสามฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมซึ่งนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามได้โดยชอบและไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยอุทธรณ์ต่อไปว่าการที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยมีจุดประสงค์เพื่อบีบบังคับกดดันโจทก์ทั้งสามให้จำยอมสละสิทธิพักย่อยที่ได้มาจากการเรียกร้องจนมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หรือต้องการทำลายสหภาพแรงงาน หรือทำให้กรรมการสหภาพแรงงานหมดความสำคัญสำหรับลูกจ้าง เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคดีหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องของโจทก์ทั้งสามในส่วนที่ขอให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงาน และที่ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน หากจำเลยไม่ยอมรับโจทก์ทั้งสามกลับเข้าทำงานให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง