คำพิพากษาฎีกา 693 - 701/2552
ปิดกิจการมีคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานบริษัทในเครือลูกจ้างมีสิทธิไม่ไปได้
คดีทั้งเก้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 9 และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งเก้าสำนวนฟ้องและโจทก์ที่ 1 แก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2544 ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่แท่นรีดได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 198 บาท โจทก์ที่ 2 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 ทำหน้าที่หลังเตา ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 191 บาท โจทก์ที่ 3 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อปี 2544 ทำหน้าที่หลังเตาได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 191 บาท โจทก์ที่ 4 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อเดือนตุลาคม 2544 ทำหน้าที่หัวหน้าช่างปรับ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 320 บาท โจทก์ที่ 5 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อปี 2544 ทำหน้าที่ฝ่ายผลิตแท่นรีด ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 198 บาท โจทก์ที่ 6 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อปี 2548 ทำหน้าที่ฝ่ายผลิต ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 191 บาท โจทก์ที่ 7 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อปี 2548 ทำหน้าที่ฝ่ายผลิต ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 191 บาท โจทก์ที่ 8 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อเดือนสิงหาคม 2547 ทำหน้าที่ฝ่ายผลิต ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 191 บาท และโจทก์ที่ 9 ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อปี 2544 ทำหน้าที่ฝ่ายผลิต ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ 191 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 6 และ 21 ของทุกเดือน ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2550 จำเลยกีดขวางการเข้าทำงานของโจทก์ทั้งเก้า โดยปิดประตูไม่ให้เข้าทำงานและแจ้งให้โจทก์ทั้งเก้าไปทำงานกับอีกบริษัทซึ่งเป็นคนละนิติบุคคลถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยได้เลิกจ้าง โจทก์ทั้งเก้าไม่ได้กระทำความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์ที่ 1 ทำงานกับจำเลยมาครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน เป็นเงิน 47,520 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 4,158 บาท โจทก์ที่ 2 ทำงานกับจำเลยมาครบ 1 ปีแต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 17,190 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 4,011 บาท โจทก์ที่ 3 ทำงานกับจำเลยมาครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน เป็นเงิน 45,840 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 4,011 บาท โจทก์ที่ 4 ทำงานกับจำเลยมาครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 57,600 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 6,720 บาท โจทก์ที่ 5 ทำงานกับจำเลยมาครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน เป็นเงิน 47,520 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 4,158 บาท โจทก์ที่ 6 ทำงานกับจำเลยมาครบ 2 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 17,190 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 4,011 บาท โจทก์ที่ 7 ทำงานกับจำเลยมาครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 17,190 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 4,011 บาท โจทก์ที่ 8 ทำงานกับจำเลยมาครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 34,300 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 4,011 บาท โจทก์ที่ 9 ทำงานกับจำเลยมาครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน เป็นเงิน 45,840 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 21 วัน เป็นเงิน 4,011 บาท แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายให้โจทก์ทั้งเก้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 4,158 บาท ให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 4,011 บาท ให้โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 4,011 บาท ให้โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 6,720 บาท ให้โจทก์ที่ 5 เป็นเงิน 4,158 บาท ให้โจทก์ที่ 6 เป็นเงิน 4,011 บาท ให้โจทก์ที่ 7 เป็นเงิน 4,011 บาท ให้โจทก์ที่ 8 เป็นเงิน 4,011 บาท ให้โจทก์ที่ 9 เป็นเงิน 4,011 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคนให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 47,500 บาท ให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 17,190 บาท ให้โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 45,840 บาท ให้โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 57,600 บาท ให้โจทก์ที่ 5 เป็นเงิน 47,520 บาท ให้โจทก์ที่ 6 เป็นเงิน 17,190 บาท ให้โจทก์ที่ 7 เป็นเงิน 17,190 บาท ให้โจทก์ที่ 8 เป็นเงิน 34,300 บาท ให้โจทก์ที่ 9 เป็นเงิน 45,840 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคน
จำเลยทั้งเก้าสำนวนให้การว่า จำเลยไม่ได้กีดขวางการเข้าทำงาน ไม่ได้ปิดประตู แต่ขอให้พนักงานส่วนที่ 1 คือโจทก์ทั้งเก้าไปทำงานที่บริษัทไต้ทงแมชชีนเนอรี่ จำกัด โดยจัดหารถรับส่งให้ที่สำนักงานใหญ่คือบริษัทเอคอนกรีต จำกัด ซึ่งไม่ห่างจากที่ทำงานเดิม ส่วนพนักงานส่วนที่ 2 ให้ทำงานที่เดิมจนกว่าจะหมดแล้วจึงตามไปทีหลัง บริษัทไต้ทงแมชชีนเนอรี่ จำกัด เป็นบริษัทในเครือซึ่งมีลักษณะงานบางส่วนสามารถจัดให้โจทก์ทั้งเก้าทำได้โดยตรงกับความสามารถ โดยจำเลยได้ขอคำแนะนำจากสำนักงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการแล้ว ในเรื่องสวัสดิการและค่าจ้างยังคงเหมือนเดิมทุกประการ สาเหตุที่จำเลยให้พนักงานทำงานกับบริษัทในเครือเพราะจำเลยขาดทุนเนื่องจากเศรษฐกิจทรุดตัวไม่มีงานให้ทำ จึงจัดหางานที่เหมาะสมให้ทำเพื่อรอจังหวะเศรษฐกิจดีขึ้นจึงจะทำการผลิตต่อไป และจำเลยมีความจำเป็นต้องหยุดผลิตเพื่อขายสินค้าให้หมดก่อน ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยแถลงยอมรับว่า โจทก์ทั้งเก้าเป็นลูกจ้างจำเลยและได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายตามฟ้องของโจทก์แต่ละคน และอายุการทำงานของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 9 ถูกต้องตามฟ้อง ยกเว้นโจทก์ที่ 1 และที่ 6 จำเลยไม่รับเรื่องอายุงานว่าถูกต้องตามฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 4,158 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 4,011 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 4,011 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 6,720 บาท โจทก์ที่ 5 เป็นเงิน 4,158 บาท โจทก์ที่ 6 ถึงโจทก์ที่ 9 เป็นเงิน 4,011 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 1 เท่าที่โจทก์ที่ 1 ขอมาท้ายฟ้องเป็นเงิน 47,500 บาท ให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 17,190 บาท ให้โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 45,840 บาท ให้โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 57,600 บาท ให้โจทก์ที่ 5 เป็นเงิน 47,520 บาท ให้โจทก์ที่ 6 โจทก์ที่ 7 และโจทก์ที่ 8 เป็นเงินคนละ 17,190 บาท และให้โจทก์ที่ 9 เป็นเงิน 45,840 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคน
จำเลยทั้งเก้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งเก้าเป็นลูกจ้างจำเลย นายยงยุทธ สุวรรณบุตร กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยและนางอรัญญา อรัญชราธร กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทไต้ทง แมชชีนเนอรี่ จำกัด เป็นสามีภริยากัน โจทก์ทั้งเก้าระบุในใบสมัครงานว่าสามารถไปทำงานได้ทุกแห่ง ต่อมาจำเลยประกอบกิจการขาดทุนและจะหยุดการผลิตสินค้าในวันที่ 16 พฤษภาคม 2550 โดยจำเลยได้ติดประกาศแจ้งให้โจทก์ทั้งเก้าไปทำงานที่บริษัทไต้ทงแมชชีนเนอรี่ จำกัด แต่โจทก์ทั้งเก้าไม่ไปทำงานตามประกาศของจำเลย แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยปิดโรงงานและหยุดการผลิตไม่ให้โจทก์ทั้งเก้าทำงานกับจำเลยต่อไปพฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าตามกฎหมายแล้ว แม้บริษัทจำเลยเป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับบริษัทไต้ทงแมชชีนเนอรี่ จำกัด โดยมีผู้บริหารเป็นสามีภริยากันแต่ก็มีฐานะเป็นนิติบุคคลต่างหากจากกัน การที่จำเลยมีคำสั่งตามประกาศให้โจทก์ทั้งเก้าไปทำงานที่บริษัทไต้ทงแมชชีนเนอรี่ จำกัด โดยดำเนินการจัดหาตำแหน่งงานให้นั้น เมื่อโจทก์ทั้งเก้าไม่ยินยอมย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 การที่โจทก์ทั้งเก้าไม่ปฏิบัติตามโดยไม่ไปทำงานตามคำสั่ง จึงมิใช่การฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งเก้าขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยประกอบกิจการขาดทุนเนื่องจากเศรษฐกิจทรุดตัว จำเป็นต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อขายสินค้าที่ผลิตให้หมดก่อนเพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการดำเนินกิจการต่อไป รวมทั้งต้องซ่อมบำรุงเครื่องจักรในโรงงานจึงออกคำสั่งตามประกาศให้โจทก์ทั้งเก้าไปทำงานที่บริษัทไต้ทงแมชชีนเนอรี่ จำกัด เป็นการชั่วคราวก่อน การกระทำของจำเลยไม่ถือเป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้า เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า คำสั่งตามประกาศของจำเลยที่ให้โจทก์ทั้งเก้าไปทำงานที่อื่นชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม จำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้า จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งเก้าให้ความยินยอมไว้ในขณะที่มาสมัครงานกับจำเลยว่าไปได้ทุกแห่งคือบริษัทในเครือของจำเลยด้วย จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย