คำพิพากษาฎีกา 2550/2552
อุทธรณ์ข้อเท็จจริง + รับเหมาขนขยะรู้เห็นเป็นใจจงใจหรือประมาทหรือไม่
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2533 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำงานตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารได้รับค่าจ้างเดือนละ 38,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 1 ของเดือน ต่อมาวันที่ 7 มิถุนายน 2546 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2546 โดยโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยได้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินเดือนถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่การเลิกจ้างดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องขาดรายได้และค่าตอบแทนอื่น ๆ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและต้องตกงาน โจทก์มีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา ดูแลครอบครัวและบุตร โจทก์ไม่ประสงค์กลับเข้าทำงานกับจำเลยอีก ถ้าโจทก์ทำงานกับจำเลยต่อไปจนครบกำหนดเกษียณอายุ 60 ปี เป็นเวลาอีก 17 ปี ได้รับค่าจ้างเดือนละไม่ต่ำกว่า 70,000 บาท รวมเป็นเงิน 15,280,000 บาท แต่โจทก์เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 13,464,330 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 13,464,330 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ประเภทเครื่องปริ้นเตอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีโรงงานตั้งอยู่ที่อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร และอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร ประจำโรงงานอำเภอเขาย้อย มีหน้าที่บริหารงานบุคคล งานธุรการ งานรักษาความปลอดภัยและงานอื่นตามที่จำเลยมอบหมาย โดยเฉพาะงานด้านกำจัดเศษวัสดุเหลือใช้และกำจัดขยะ ในการผลิตปริ้นเตอร์ของจำเลยมีส่วนหนึ่งที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด จำเลยจะทำลายและกำจัดเป็นเศษวัสดุเหลือใช้ประเภทขยะ โดยวิธีฉีดพ่นสีบนตัวเครื่องทั้งภายนอกและภายใน ตัดสายไฟต่าง ๆ รวมทั้งอุปกรณ์ภายใน เพื่อไม่ให้นำออกไปใช้งานต่อไปหลังจากนั้นนำไปรวบรวมไว้ในโรงแยกเก็บภายในโรงงานเพื่อจะจำหน่ายเศษวัสดุเหลือใช้ประเภทขยะดังกล่าวให้บุคคลภายนอกนำออกไปทำลายและทิ้งต่อไป ผู้ซื้อจะต้องนำยานพาหนะเข้ามาขนขยะดังกล่าว โจทก์มีหน้าที่ในการตรวจสอบการขนย้ายต้องคอยควบคุมกำกับดูแลการขนย้ายให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและตรวจสอบว่าสินค้าดังกล่าวได้มีการทำลายตามวิธีที่จำเลยกำหนดเพื่อป้องกันการนำไปใช้ประโยชน์และมิให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย ทั้งโจทก์ต้องตรวจสอบไม่ให้มีการนำสินค้าหรือทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยซุกซ่อนหรือลักลอบไปกับรถขนขยะ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2541 จำเลยทำสัญญาซื้อขายเศษวัสดุเหลือใช้และกำจัดขยะในโรงงานอำเภอเขาย้อยกับนายประยูร จีรนันทพร ผู้ซื้อมีกำหนด 1 ปี โดยตกลงว่าผู้ซื้อต้องขนวัสดุดังกล่าวไปทิ้งในสถานที่ซึ่งทางราชการกำหนดไว้ โดยโจทก์ลงนามแทนจำเลยในสัญญาดังกล่าว แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว โจทก์กลับละเลยเพิกเฉยไม่ได้จัดให้มีการประมูลหรือทำสัญญาใหม่กับนายประยูรให้ถูกต้อง แต่โจทก์กลับใช้อำนาจหน้าที่ดังกล่าวให้พี่น้องของโจทก์เข้ามาทำงานแทนนายประยูรขนย้ายวัสดุเหลือใช้และขยะออกจากโรงงานโดยโจทก์ปล่อยปละละเลย รู้เห็นเป็นใจไม่ทำการตรวจสอบ เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต่อมาประมาณเดือนเมษายน 2546 จำเลยได้รับแจ้งจากลูกค้าว่าสินค้าประเภทปริ้นเตอร์ซึ่งลูกค้าเป็นผู้ว่าจ้างให้จำเลยผลิตที่โรงงานอำเภอเขาย้อยมีการจำหน่ายในท้องตลาดเป็นการผิดเงื่อนไขการว่าจ้างเพราะจำเลยจะจัดจำหน่ายไม่ได้นอกจากลูกค้าผู้ว่าจ้างเป็นผู้จำหน่าย หากผิดสัญญาผู้ว่าจ้างอาจยกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายทำให้จำเลยเสียชื่อเสียงในทางธุรกิจ จำเลยได้ทำการตรวจสอบในท้องตลาดและพบว่ามีการจำหน่ายจริงและพบว่าเครื่องปริ้นเตอร์รุ่นอื่นๆ ที่โรงงานอำเภอเขาย้อยของจำเลยเป็นผู้ผลิตและถูกทำลายเพราะไม่ได้มาตรฐานมีการนำไปดัดแปลงและนำไปจำหน่ายในท้องตลาดทำให้เกิดความเสียต่อมาตรฐานคุณภาพสินค้าและชื่อเสียงของจำเลย จำเลยตรวจสอบพบว่าสินค้าดังกล่าวได้นำออกไปโดยการลักลอบ ซุกซ่อนและปลอมปนออกไปรถขนเศษวัสดุเหลือใช้ประเภทขยะ โดยมีพี่น้องของโจทก์ขนย้ายออกไปจากโรงงานอำเภอเขาย้อยด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่จำเลย เป็นเหตุให้ลูกค้าผู้ว่าจ้างผลิตจะบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนมาก จำเลยมอบหมายให้โจทก์และนายประพันธ์ รุจิธัมโม ผู้รับมอบอำนาจไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ต่อมาจำเลยได้ตรวจสอบภายใน โจทก์ยอมรับว่าเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ตรวจสอบควบคุมดูแล ปล่อยให้มีการลักลอบซุกซ่อนสินค้า เศษวัสดุเหลือใช้ประเภทขยะและเครื่องปริ้นเตอร์รุ่นที่ลูกค้าว่าจ้างผลิตนำออกไปในรถขนขยะซึ่งพี่น้องโจทก์เป็นผู้ทำการขนย้าย และโจทก์แสดงความรับผิดชอบโดยยินยอมให้จำเลยเลิกจ้างและขอลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลย แต่จำเลยให้ความอนุเคราะห์โดยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวและเงินเดือนให้โจทก์จนครบถ้วนแล้ว ระหว่างทำงานจำเลยพิจารณาขึ้นเงินเดือนตามผลงาน มิได้ขึ้นเงินเดือนร้อยละ 4 ทุกปี ส่วนเงินค่าตำแหน่งและค่าเช่าบ้านเดือนละ 3,500 บาท จำเลยไม่เคยจ่ายให้แก่โจทก์ สำหรับเงินโบนัสจำเลยจ่ายไม่แน่นอนขึ้นกับผลประกอบการของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อย 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2546 ซึ่งเป็นวันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมา ได้ความว่า จำเลยประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทปริ้นเตอร์ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์มีโรงงานอยู่ที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี แห่งหนึ่ง โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยในตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารมีหน้าที่รับผิดชอบงานฝ่ายบุคคล ฝ่ายธุรการ ฝ่ายซ่อมบำรุง และฝ่ายอบรม ประจำอยู่ที่โรงงานอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เครื่องปริ้นเตอร์ที่จำเลยรับจ้างผลิตที่โรงงานดังกล่าว ถ้าไม่ผ่านการทดสอบจะทำลายโดยการตัดสายไฟและพ่นสีภายในเครื่องจำหน่ายทิ้งเป็นขยะพลาสติกขายให้ผู้รับเหมา การทำลายเครื่องปริ้นเตอร์ที่ไม่ผ่านการทดสอบ ไม่ได้ทำลายรูปทรงรวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ให้ถึงขนาดไม่อาจนำไปใช้การได้โดยแท้จริง เป็นเหตุให้ผู้ที่รับซื้อขยะนำไปปรับปรุง ประกอบหรือซ่อมแซมแล้วนำไปจำหน่ายการจำหน่ายขยะโดยวิธีการเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติตามวิธีการของจำเลย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์จงใจหรือประมาทเลินเล่อให้มีการลักลอบนำเอาเครื่องปริ้นเตอร์ของจำเลยรวมไปกับขยะที่ขาย อันจะถือว่าโจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ ร่วมมือกับบุคคลอื่นกระทำการอันเป็นการละเลยต่อหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือบุคคลใดให้ลักลอบขนขยะหรือเครื่องปริ้นเตอร์แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมที่จำเลยอุทธรณ์มาทั้งหมดนั้นเป็นการกล่าวอ้างว่า การกระทำของโจทก์เกี่ยวกับการจำหน่ายขยะเป็นการปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบขนเครื่องปริ้นเตอร์ที่ใช้การได้ไปกับขยะ เป็นการประมาทเลินเล่อหรือจงใจให้จำเลยได้รับความเสียหาย รวมทั้งอุทธรณ์เกี่ยวกับการกำหนดค่าเสียหาย ล้วนเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางทั้งสิ้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย