ขวัญควาย ประเพณีโบราณของสระแก้ว
โบราณถือว่า "กระบือหรือควาย" เป็นสัตว์ใหญ่ที่มีค่ามาก เพราะได้ใช้ควายเป็น สัตว์ลากไถ ลากคราด เพื่อให้คนได้ปลูกข้าวไถนา ทำกินเพื่อเลี้ยงชีพและสร้างรายได้แก่ครอบครัว พิธีสู่ขวัญควายหรือฮ้องขวัญควาย จึงได้ถูกทำกันมาอย่างต่อเนื่อง หลังเสร็จจากการปลูกข้าว เพื่อเตือนใจให้ระลึกถึงบุญคุณของควาย ที่ได้ให้ใช้แรงงานไถนา ซึ่งบางครั้งอาจมีการเฆี่ยนตี ดุด่า จึงต้องทำพิธีเพื่อเป็นการขอขมาที่ได้ล่วงเกิน เป็นการสอนให้คนรู้จักความกตัญญูรู้คุณ มีเมตตากรุณา สำนึกในความผิดของตน จังหวัดสระแก้ว จึงได้จัดพิธีสู่ขวัญควายขึ้น เพื่อรำลึกบุญคุณควายและเป็นการสนองพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ถ่ายทอดความรู้สู่คนและควายไปแล้ว25 รุ่นเกือบ 200 คน/ตัว นายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว บอกว่า กระบือหรือควาย เป็นสัตว์ที่อยู่คู่ชาวนามาช้านานตั้งแต่อดีต เป็นสัตว์ที่ให้คุณ และเป็นกำลังหลักของชาวนาในการปลูกข้าวเลี้ยงผู้คนมาโดยตลอด จากวิถีชีวิตเกษตรกรเปลี่ยนไปจากใช้แรงงานควาย หันไปใช้แรงงานจากเครื่องจักรกลแทน ทำให้ปัจจุบันควายได้ถูกนำมาใช้งานน้อยลง ส่งผลให้ทั้งคนและควายไม่มีความรู้ที่จะไถนาแบบดั้งเดิม ต้องหันไปใช้แต่เครื่องจักร คนก็ใช้แรงงานจากควายไม่เป็น จับคันไถไม่ถูก ในขณะที่ควายก็ไถนาไม่เป็นเช่นกัน จึงเป็นที่มาของแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงให้ตั้งโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์อบรมกระบือในการทำนา ทำการเกษตร และกิจกรรมต่างๆ และให้ความรู้แก่เกษตรกรที่สนใจจะใช้ประโยชน์จากกระบือในการประกอบอาชีพ รวมทั้งจัดทำแปลงสาธิตทางการเกษตรรูปแบบต่างๆ ด้วยสำนึกในบุญคุณของควาย จังหวัดสระแก้ว จึงได้จัดงานพิธีสู่ขวัญควายขึ้น เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณ อนุรักษ์ ฟื้นฟูและสืบสานประเพณีการสู่ขวัญควายให้คงอยู่สืบต่อไปมิให้สูญหาย
"...เราจัดงานเพื่อเตือนสติให้คนมีความกตัญญูแก่ผู้ที่มีพระคุณแก่ตนตามธรรมเนียมไทย ควายเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณที่คนต้องใช้แรงงานไถคราด พลิกแผ่นดินอันเป็นของหนัก เพื่อหว่านเพาะปลูกข้าว ทำให้คนได้รับประโยชน์ มีข้าวกินด้วยแรงงานของควาย ปีหนึ่งเราก็ควรจะจัดงานสู่ขวัญควายตามธรรมเนียมไทยแต่เดิมที่ปฏิบัติมา" ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าว
ส่วนนายสมเกียรติ พันธรรม วัฒนธรรมจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า พิธีสู่ขวัญควายหรือฮ้องขวัญควาย เป็นพิธีสืบเนื่องมาจากความเชื่อเรื่องขวัญควาย ที่ชาวนาเชื่อว่า ขวัญควายทั้ง 32 ขวัญ มีจิตวิญญาณประจำอยู่ในแต่ละขวัญ เป็นพิธีที่ทำกัน เมื่อเสร็จจากการปลูกข้าวแล้ว เป็นการเตือนใจให้ระลึกถึงบุญคุณของควาย ที่ได้ให้แรงงานไถนาให้คนสามารถปลูกข้าวได้ เมื่อควายถูกเฆี่ยนตี ขวัญจะตกใจกลัวหนีไปอยู่ตามป่าเขา หากขวัญไม่อยู่กับตัวควาย จะทำให้ควายเจ็บไข้ไปได้ เมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลไถนา ชาวนาจะต้องจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ เพื่ออัญเชิญขวัญให้กลับมาอยู่กับควาย และปลอบประโลมให้ขวัญหายตกใจหรือเศร้า อาจกล่าวได้ในอีกแง่หนึ่งว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณควายที่ได้ช่วยทำนา เป็นการขอขมาลาโทษที่ได้ดุด่าเฆี่ยนตี การทำพิธีนี้เพื่อเป็นการขอขมาที่ได้ล่วงเกิน เป็นการสอนให้คนรู้จักความกตัญญูรู้คุณ มีเมตตากรุณา สำนึกในความผิดของตน ผู้ทำพิธีมักเป็นเจ้าของควายเอง หรือในกรณีที่ไม่สันทัดในการทำพิธี อาจให้ผู้อื่นทำแทนได้
นายบุญตา ลาโง้น อายุ 73 ปี หมอขวัญในพิธีสู่ขวัญควาย บอกว่า เมื่อก่อนเคยเลี้ยงควายกว่า 10 ตัว ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ต่อมาพอมีอายุมากขึ้นแลัวไม่มีคนช่วยเลี้ยงเลยต้องขายไป หันมาซื้อรถไถเดินตามมาใช้ไถนาแทน สำหรับการทำพิธีสู่ขวัญควายนั้น เมื่อก่อนก็ทำกันเอง พอปีนี้ทางจังหวัดมาจัดงานขึ้นจึงอยากนำความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษมาถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน โบราณจะเรียกควายตัวผู้ว่า "มหิงสา" ส่วนตัวเมียจะเรียกว่า "กาสร"
ส่วนการทำพิธีสู่ขวัญควายจะทำพิธีในบริเวณคอกควาย โดยจะต้องจัดเตรียมหญ้าอ่อนที่เพียงพอให้ควายกินตลอดช่วงทำพิธี ประมาณ 1-2 ตะกร้า ดอกไม้ ธูป เทียน 3 กรวย ไก่ต้ม 2 ตัว เหล้าขาว 1 ขวด ข้าวเหนียว 1 ปั้น กล้วยสุก 1 ลูก หมาก 1 คำ พลู 1 ใบ ด้ายสายสิญจน์ และน้ำส้มป่อย ผู้ประกอบพิธีจะนำเครื่องพิธีวางไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งของคอกควาย แล้วใส่แอกเข้ากับควาย จากนั้นกล่าวคำเชิญขวัญ เมื่อกล่าวถึงท่อนที่ว่า "ปลดแอกแล้ว" ก็ให้ทำการปลดแอกออก แล้วนำกรวยดอกไม้ธูปเทียนมัดไว้ที่เขาควายข้างละ 1 กรวย อีกกรวยผูกไว้ที่ด้านหลังของหัวควาย หลังจากกล่าวคำเชิญขวัญจบลง ก็จะทำการป้อนข้าว ป้อนน้ำให้แก่ควาย พร้อมกับนำน้ำส้มป่อยมาประพรมควายเป็นการขอขมา การประกอบพิธีนี้อาจมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้างในแต่ละท้องถิ่น
นายนิด สมบูรณ์ ปราชญ์ท้องถิ่นด้านการไถนาเลี้ยงควาย เล่าว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่า ที่โรงเรียนกาสรกสิวิทย์เปิดดำเนินการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปราชญ์ท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ได้ฝึกคนและควายไปแล้วกว่า 25 รุ่น เป็นควาย 170 ตัว และคนที่เป็นเจ้าของควายอีกเกือบ 200 คน ใช้เวลาในการฝึก 10 วัน จากที่ไม่รู้และไม่เป็นอะไรเลย ก็ค่อยๆ นำมาฝึกจากปราชญ์และควายพ่อคอก แม่คอก เมื่อฝึกจบไปแล้วก็จะนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพในชีวิตประจำวัน โดยจากปราชญ์ท้องถิ่นจะมีการออกไปเยี่ยมลูกศิษย์ตามบ้านด้วย ส่วนใหญ่พอใจและภูมิใจที่ได้กลับไปใช้ควายไถนาเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่ โดยไม่ต้องเสียเงินไปซื้อรถไถและน้ำมันมาเติม กลับไปสู่ความพอมีพอกินเหมือนอย่างในอดีต
ปัจจุบันโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ (กา-สอนกะ-สิ-วิด) เป็นโรงเรียนที่สมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นโรงเรียนฝึกกระบือ (ควาย) และให้เกษตรกรมาใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับกระบือเพื่องานเกษตรกรรม ตั้งอยู่ที่ ต.ศาลาลำดวน อ.เมือง จ.สระแก้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงเรียนกาสรกสิวิทย์เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2552 สนใจอยากจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับการไถนา ดำนา เลี้ยงควายเชิญไปกันได้