ฎีกา 2566/2552
เรื่อง อุทธรณ์ข้อเท็จจริง + แก้ไขรายการซื้อสินค้า
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดซื้อฝ่ายช่าง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงินเดือน ๆ ละ 20,440 บาท ค่าครองชีพเดือนละ 2,925 บาท ต่อมาวันที่ 26 สิงหาคม 2547 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่าโจทก์ทำการแก้ไขจำนวนวัสดุที่สั่งซื้อมากกว่าจำนวนที่ขอจัดซื้อรวม 142 รายการ แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลการจัดซื้อเกี่ยวกับราคาในระบบจำนวน 180 รายการ เพื่อให้จำเลยสั่งซื้อวัสดุจาก บริษัท ท็อป แคส เอเวียชั่น ซัพพลายส์ จำกัด และก่อนมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์จำเลยได้ตั้งคณะกรรมการทำการสอบโจทก์หลังจากสอบสวนแล้วคณะกรรมการดังกล่าวมีคำสั่งที่ กบ.02 -1 -02/520 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2547 วินิจฉัยว่ายังไม่มีพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเองหรือผู้ใดโดยมิชอบ จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและมีมติให้โจทก์ออกจากการเป็นพนักงาน โดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดระเบียบข้อบังคับว่าด้วยวินัย การลงโทษ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ข้อ 5. 3 ที่ระบุว่า คือ ภักดีต่อบริษัท ทำการสนับสนุนส่งเสริม ป้องกัน และรักษาผลประโยชน์ของบริษัททุกวิถีทาง และข้อ 5.11 ที่ระบุว่าไม่แจ้งเท็จ หรือรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาหรือบริษัท โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วยืนยันให้ลงโทษโจทก์ตามคำสั่งเดิม การที่จำเลยลงโทษโจทก์โดยให้ออกถือว่าไม่เป็นธรรมเนื่องจากการกระทำของโจทก์ไม่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ในการจัดซื้อพัสดุโจทก์ไม่มีอำนาจในการอนุมัติใบสั่งซื้อ ต้องเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และได้รับอนุมัติให้จัดซื้อ ซึ่งจำเลยได้นำของที่โจทก์จัดซื้อไปใช้แล้วทุกรายการ การที่จำเลยลงโทษโจทก์โดยให้ออกถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อน เพราะโจทก์อายุมากแล้ว และการที่ถูกเลิกจ้างเป็นอุปสรรคต่อการหางานใหม่ ทั้งโจทก์มีภาระต้องเลี้ยงดูบิดา มารดาซึ่งชราภาพ ภรรยาและบุตรที่ยังอยู่ในวัยเรียน ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าในอัตราค่าจ้างเท่าเดิม และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างต่อเดือนของโจทก์ให้แก่โจทก์ในระหว่างที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จนถึงวันที่รับโจทก์กลับเข้าทำงาน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมเพราะโจทก์ทำผิดระเบียบวินัยตามระเบียบฯ ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2537 ข้อ 5. 3 และ 5 . 11 และผิดตามระเบียบบริษัทฯ ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 ข้อ 15 คือ โจทก์กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หรือกระทำโดยมีเจตนาทุจริต หรือปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่รวมทั้งมีพฤติกรรมที่เอื้ออำนวยให้มีการสมยอมกันในการเสนอราคาหรือขัดขวางการแข่งขันการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม เป็นเหตุให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหายถือว่ากระทำผิดวินัยและอาจต้องรับผิดในทางแพ่งหรือทางอาญา โดยเมื่อระหว่างเดือนกรกฎาคม 2544 ถึงกรกฎาคม 2545 โจทก์ซึ่งทำงานกับจำเลยสังกัดกองจัดซื้อพัสดุอากาศยานทำหน้าที่จัดซื้อพัสดุอากาศยานระหว่างประเทศ ได้ทำการแก้ไขข้อมูลด้านการจัดซื้อ (PROCUREMENT DATA) เช่น ราคา (UNIT PRICE) วันยืนราคา (PRI VALIDITY) และจำนวนสั่งซื้อ (ORDER QUANTITY) โดยพลการ ไม่ผ่านการับรองจากผู้มีอำนาจลงนามเบื้องต้น (LEADER หรือ SUPERVISER) แล้วทำการสั่งซื้อพัสดุอากาศยานโดยตรงไปยังบริษัท ท็อป แคส เอเวียชั่น ซัพพลายส์ จำกัด ในประเทศฮ่องกง จำนวน 64 ใบสั่งซื้อรวม 241 รายการ เป็นการสั่งซื้อมากกว่าจำนวนผู้ที่วางแผนและควบคุมผู้จัดซื้อกำหนดให้ซื้อไป 142 รายการ ซึ่งพัสดุที่สั่งซื้อหลายรายการควรสั่งซื้อจากผู้ขายรายอื่นซึ่งราคาถูกกว่าและวันยืนราคายังมีผลใช้ได้อยู่ และโจทก์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลราคาพัสดุที่แท้จริงของผู้ขายรายอื่นในระบบบริหารพัสดุอากาศยาน 2 (MAST 2) ให้สูงกว่าราคาของบริษัท ท็อป แคส เอเวียชั่น ซัพพลายส์ จำกัด จำนวน 180 รายการ เพื่อให้จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทดังกล่าว และพัสดุที่โจทก์แก้ไขจำนวนสั่งซื้อให้มากกว่าจำนวนที่ผู้วางแผนและควบคุมผู้จัดซื้อของจำเลยสั่งให้ซื้อซึ่งมากเกินความจำเป็นที่ต้องใช้นั้น มีอายุการใช้งาน หากเก็บไว้ไม่ได้ใช้ จะทำให้เสื่อมไม่สามารถนำมาใช้งานได้เมื่อถึงคราวต้องใช้ โดยพัสดุที่โจทก์สั่งซื้อจากบริษัท ท็อป แคส เอเวียชั่น ซัพพลายส์ จำกัด ในราคาสูงกว่าราคาที่แท้จริงเป็นเงินประมาณ 3.08 ล้านบาท การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการไม่ฟ้องกันและรักษาผลประโยชน์ของจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 3.08 ล้านบาท โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่จำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โจทก์มีสิทธิจะได้รับเงินจากจำเลยตามระเบียบฯ บริหารงานบุคคล พ.ศ. 2537 ตอนที่ 2 ข้อ 12 เป็นค่าชดเชยจำนวน 176,558 บาท เงินบำเหน็จจำนวน 346,738 บาท รวมเป็นเงิน 523,269 บาท แต่มีเงินที่โจทก์ต้องคืนแก่จำเลยได้แก่ค่าตั๋ว ภาษีหัก ณ ที่จ่าย บัตรประจำตัวพนักงานและเงินเดือนที่รับเกินไปรวมเป็นเงิน 4,774 บาท เมื่อนำเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับกับเงินที่โจทก์ต้องคืนแก่จำเลยมาหักล้างกันแล้ว โจทก์ยังคงได้รับเงินจากจำเลยจำนวน 518,522 บาท จำเลยจึงนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชดใช้ค่าเสียหาย และยังคงเหลือค่าเสียหายที่โจทก์ต้องชดใช้แก่จำเลยเป็นเงิน 2,561,478 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับโจทก์ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์รับทราบคำสั่งเลิกจ้างคือเดือนกันยายน 2547 จนกว่าจะชำระเสร็จโดยดอกเบี้ยคำนวณถึงวันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งระยะเวลา 1 ปี 3 เดือน เป็นเงิน 240,138.60 บาท โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ทำการแก้ไขข้อมูลด้านการจัดซื้อโดยพลการไม่ผ่านการรับรองจากผู้มีอำนาจลงนามเบื้องต้น ใบสั่งซื้อของโจทก์มีนางลำเยาว์ บัวคลี่ ซึ่งเป็นหัวหน้างานระดับต้นของโจทก์ลงนามทุกฉบับ และใบสั่งซื้อของโจทก์ทุกฉบับต้องมีลายเซ็นของนายชลิต สุราฤทธิ์ มิฉะนั้นผู้ขายจะไม่ส่งของให้ตามเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์หมายเลข 8 จำเลยเคยได้แจ้งบัญชีหนี้สินของโจทก์ที่พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานว่าโจทก์จะต้องจ่ายเงินคืนแก่จำเลยเป็นจำนวนเงิน 346,738.60 บาทเท่านั้น โดยยังไม่รวมค่าชดเชยที่โจทก์จะต้องได้รับตามมติของคณะกรรมการสอบสวนหลังจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว โจทก์ได้รับเอกสารของจำเลยเป็นการแจ้งยอดหนี้เพิ่มเติมค่าชดเชยและค่าอื่นๆ อีก 5 รายการ เมื่อหักกลบลบหนี้แล้วยอดเงินเป็นศูนย์ ค่าเสียหายของจำเลยที่เรียกมาตามฟ้องแย้งจึงไม่ตรงกับจำนวนเงินที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์แก้ไขจำนวนรายการพัสดุที่สั่งซื้อในระบบคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าจำนวนที่ฝ่ายวางแผนพัสดุกำหนดโดยไม่แจ้งให้ฝ่ายวางแผนพัสดุทราบและให้ความเห็นชอบก่อนทั้งยังแก้ไขข้อมูลราคาพัสดุของผู้จำหน่ายรายอื่นในระบบคอมพิวเตอร์ให้สูงกว่าราคาของบริษัทท็อป แคส เอเวียชั่น ซัพพลายส์ จำกัด เสนอผู้บังคับบัญชาทำให้ผู้บังคับบัญชาหลงเชื่อ อนุมัติให้โจทก์จัดซื้อพัสดุตามที่โจทก์ต้องการ เป็นการกระทำเกินหน้าที่ เสนอหลักฐานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นการไม่รักษาประโยชน์และไม่ภักดีต่อจำเลย ผิดระเบียบว่าด้วยการบริหารงานบุคคลตามเอกสารหมาย ล. 19 และระเบียบว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2546 เอกสารหมาย ล. 18 มีเหตุสมควรที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลย การที่โจทก์อุทธรณ์ ข้อ 2.1ก 2.1ข และ 2.2 สรุปใจความว่า โจทก์ทำการแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลจำนวนรายการสั่งซื้อพัสดุมากกว่าจำนวนที่ฝ่ายวางแผนพัสดุกำหนดและแก้ไขราคาพัสดุของผู้จำหน่ายรายอื่นที่จำเลยซื้อประจำในระบบคอมพิวเตอร์ของจำเลยนั้น โจทก์ได้แจ้งให้ฝ่ายวางแผนพัสดุทราบแล้วและเป็นการแก้ไขราคาพัสดุ ณ วันที่จะจัดซื้อตามใบเสนอราคาที่แจ้งมา หากรายการใดราคาไม่เปลี่ยนแปลงโจทก์ก็ไม่ได้แก้ไข ส่วนที่จัดซื้อเกินจำนวนที่ฝ่ายวางแผนพัสดุกำหนดนั้นเนื่องจากบางครั้งผู้จำหน่ายขายเป็นหีบเป็นห่อไม่แยกขายบางส่วนทั้งการจัดซื้อเป็นหีบเป็นห่อ ยังได้ราคาถูกกว่า การแก้ไขข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้บังคับบัญชาสามารถตรวจสอบเพื่อพิจารณาอนุมัติจัดซื้อได้สะดวก การกระทำของโจทก์จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนของระเบียบข้อบังคับของจำเลยทุกประการแล้วนั้น เห็นว่า เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง ความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบข้อบังคับของจำเลยทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายในข้อ 2.3 ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นธรรมหรือไม่เท่านั้น ดังนั้นอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหมดจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง แม้ศาลแรงงานกลางจะสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์มาก็ตามศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์