คำพิพากษาฎีกา 2860 / 2552
สัญญาค้ำประกันการทำงาน มีผลบังคับใช้ได้หากเป็นเงื่อนไขทั่วไปตามสัญญาค้ำประกัน ไม่มีข้อตกลงที่ให้ผู้ค้ำต้องรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติเป็นสัญญาที่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายสมบัติ ทิพยาณานุกูล ดำเนินคดีและมีอำนาจมอบอำนาจช่วง ต่อมานายสมบัติมอบอำนาจช่วงให้นายวิชัย ชยาธารรักษ์ ดำเนินคดีแทน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2538 โจทก์รับนายมรกต แก้วสถิตย์ เป็นลูกจ้าง นานมรกตเป็นพนักงานผู้ช่วยขายและต่อมาเป็นพนักงานขายมีหน้าที่นำสินค้าของโจทก์ไปจำหน่ายแก่ลูกค้า เก็บเงินค่าสินค้าส่งให้โจทก์ทุกวันออกใบกำกับภาษีหรือใบขายเชื่อ รับผิดชอบหนี้สินและเก็บเงินในการขายเชื่อ วันที่ 8 ธันวาคม 2542 จำเลยผูกพันตนค้ำประกันการทำงานของนายมรกต ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับนายมรกต ยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำของนายมรกตทันทีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวโดยไม่จำต้องเรียกร้องจากนายมรกตก่อน ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2544 นายมรกตนำสินค้าของโจทก์ไปขายให้ลูกค้าและรับเงินค่าน้ำอัดลม ค่าขวดและลังน้ำอัดลมจากลูกค้าเป็นเงิน 562,092 บาท แล้วนายมรกตเบียดบังเอาเงินนั้นไว้เป็นของตนโดยทุจริต โจทก์ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่นายมรกตซึ่งต่อมาศาลแขวงตลิ่งชันพิพากษาลงโทษจำคุกนายมรกต โจทก์ได้รับชำระค่าเสียหายที่เกิดจากการกระทำของนายมรกตตามกรมธรรม์จากบริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) แล้ว 433,037 บาท ยังเหลือหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน 129,056 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหาย 129,056 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2545 (วันที่ศาลแขวงตลิ่งชันมีคำพิพากษาจำคุกนายมรกต) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องลูกจ้างเข้ามาในคดี คดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงาน หนังสือมอบอำนาจของโจทก์เป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับนายมรกต แก้วสถิตย์ สิ้นสุดแล้ว โจทก์ทำสัญญาจ้างนายมรกตใหม่ในตำแหน่งพนักงานขับรถ จำเลยค้ำประกันการทำงานของนายมรกตในตำแหน่งพนักงานขับรถซึ่งไม่มีหน้าที่เก็บเงิน นายมรกตกระทำนอกหน้าที่การงาน จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายมรกตยักยอกทรัพย์ของโจทก์ร่วมกับนายทักษิณ บรรพต ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ บุคคลทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ต้องแบ่งส่วนความรับผิดเป็นส่วนเท่ากัน ความรับผิดของนายมรกตจึงเหลือ 64,528 บาท โจทก์ต้องเรียกนายมรกตให้ชำระหนี้ก่อนเพราะนายมรกตมีทางที่จะชำระหนี้ได้และการบังคับชำระหนี้ไม่เป็นการยากแก่โจทก์ จำเลยบอกกล่าวยกเลิกสัญญาค้ำประกันไปยังโจทก์แล้ว จำเลยไม่ต้องผูกพันชำระค่าเสียหายที่นายมรกตกระทำให้แก่โจทก์ สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 โจทก์รู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2544 โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2538 โจทก์จ้างนายมรกต แก้วสถิตย์ เป็นลูกจ้าง ตำแหน่งพนักงานผู้ช่วยขาย ต่อมาเลื่อนตำแหน่งเป็นพนักงานจัดส่งสินค้า วันที่ 8 ธันวาคม 2544 (ที่ถูก วันที่ 8 ธันวาคม 2542) จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายมรกตโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจำเลยทำสัญญาค้ำประกันในขณะที่นายมรกตทำงานในตำแหน่งพนักงานจัดส่งสินค้า มีหน้าที่เก็บเงินค่าสินค้าส่งโจทก์ นายมรกตกับนายทักษิณ บรรพต พนักงานของโจทก์ร่วมกันนำสินค้าของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำส่งค่าสินค้า 562,092 บาท แก่โจทก์ศาลแขวงตลิ่งชันพิพากษาลงโทษจำคุกนายมรกตและให้คืนหรือใช้เงินแก่โจทก์ โจทก์ได้รับชำระค่าเสียหายจากบริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตามกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว 433,037 บาท ยังคงเหลือหนี้อีก 129,056 บาท แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง โจทก์นำสืบกล่าวอ้างว่านายมรกตทำละเมิดต่อโจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานซึ่งมีอายุความ 10 ปี โจทก์รู้ถึงการกระทำของนายมรกตเมื่อปี 2544 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2547 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความสัญญาค้ำประกันกำหนดให้จำเลยรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดสูงเกินกว่าที่ควร ทั้งให้สิทธิจำเลยบอกเลิกสัญญาได้เพียงแต่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ก่อน ไม่ถือเป็นการเอาเปรียบ ไม่ใช่ข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน นายมรกตมีหน้าที่เก็บเงินค่าสินค้าส่งให้โจทก์ ไม่มีพยานหลักฐานว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยยกเลิกสัญญาค้ำประกัน จำเลยทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โจทก์ชอบที่จะเรียกชำระหนี้จากจำเลยหรือนายมรกตคนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือโดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเรียกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 291 จำเลยไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ว่าให้โจทก์เรียกนายมรกตชำระหนี้ก่อนตามมาตรา 691 นายมรกตทุจริตยักยอกเงินของโจทก์เป็นกรณีนายมรกตผิดนัดตั้งแต่วันเกิดเหตุ โจทก์ทำสัญญาประกันความซื่อสัตย์ของพนักงานโจทก์ ไม่ใช่สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2545 ซึ่งเป็นวันที่ศาลแขวงตลิ่งชันพิพากษาลงโทษนายมรกตตามที่โจทก์ขอ พิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ 129,056 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2545 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า เอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 เป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไปหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801 มีความหมายแต่เพียงว่าหากการมอบอำนาจมิได้ระบุไว้ว่าให้ผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องต่อศาลแทนผู้มอบอำนาจได้ ผู้รับมอบอำนาจก็ไม่มีอำนาจยื่นฟ้องได้ ปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ว่า นอกจากโจทก์มอบอำนาจให้นายสมบัติ ทิพยาณานุกูล กระทำการหลายอย่างแล้วในข้อ 2 โจทก์ยังได้มอบอำนาจให้นายสมบัติเป็นโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลด้วย เนื้อหาในหนังสือมอบอำนาจจึงไม่ใช่กรณีที่นายสมบัติซึ่งเป็นตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไปจากโจทก์เมื่อข้อความในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ต้องด้วยความในมาตรา 802 วรรคสอง (5) ที่ให้นายสมบัติยื่นฟ้องต่อศาลได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมอบอำนาจให้ยื่นฟ้องต่อศาลเป็นการเฉพาะเรื่องเฉพาะรายอีก ประกอบกับโจทก์มอบอำนาจให้นายสมบัติมีอำนาจแต่งตั้งตัวแทนช่วงให้กระทำการตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ได้ดังนั้นเมื่อนายสมบัติมอบอำนาจช่วงตามเอกสารหมาย จ.3 ให้นายวิชัย ชยาธารรักษ์ โดยให้มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลได้ หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 จึงไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจทั่วไปเช่นเดียวกัน นายวิชัยจึงมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางแทนโจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยประการที่สองว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายมรกตซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์มีหน้าที่นำสินค้าของโจทก์ไปจำหน่ายแก่ลูกค้าและเก็บเงินค่าสินค้าส่งให้โจทก์ทุกวัน รับผิดชอบหนี้สินและเก็บเงินในการขายเชื่อจากลูกหนี้ประเภทเครดิต นายมรกตกระทำผิดหน้าที่นำสินค้าของโจทก์ไปจำหน่าย รับเงินค่าสินค้า 562,092 บาท จากลูกค้าแล้วไม่นำส่งโจทก์ เบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนโดยทุจริตจึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานนายมรกตผู้เป็นลูกจ้างให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันฐานนายมรกตทำละเมิดต่อโจทก์และผิดสัญญาจ้างแรงงานโดยกระทำผิดหน้าที่ลูกจ้าง ไม่นำส่งเงินค่าสินค้าแก่โจทก์และเบียดบังเอาเงินค่าสินค้าไป สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องถืออายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 นับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี มูลหนี้ของนายมรกตยังไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่านำอายุความในคดีอาญามาใช้แก่คดีได้หรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
มีปัญหาวินิจฉัยประการที่สามว่า สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2 ที่ระบุว่า “สัญญาค้ำประกันฉบับนี้มีผลบังคับตลอดระยะเวลาที่ลูกจ้าง (นายมรกต) ทำงานอยู่กับบริษัทฯ (โจทก์) ผู้ค้ำประกัน (จำเลย) ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาค้ำประกันฉบับนี้ก่อนที่ลูกจ้างจะพ้นสภาพการจ้าง เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากทางบริษัท ทั้งนี้ผู้ค้ำประกันจะต้องแจ้งให้บริษัทฯ ทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 60 วัน เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ข้อตกลงในสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ หรือในสัญญาสำเร็จรูป หรือในสัญญาขายฝากที่ทำให้ผู้ประกอบกิจการค้าหรือวิชาชีพ หรือผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูป หรือผู้ซื้อฝากได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น ดังนั้น การจะพิจารณาว่าข้อตกลงในสัญญาหรือในสัญญาสำเร็จรูปนั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่จึงต้องพิจารณาว่าเป็นผลให้ผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ หรือผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูป หรือผู้ซื้อฝากนั้นได้เปรียบผู้บริโภคหรือคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควรหรือไม่ และในมาตรา 4 วรรคสาม ได้กำหนดข้อตกลงที่มีลักษณะหรือมีผลให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติเป็นข้อตกลงที่อาจถือได้ว่าทำให้ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อพิจารณาสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2 ซึ่งเป็นการค้ำประกันการทำงานของลูกจ้าง (นายมรกต) ตลอดระยะเวลาที่นายมรกตทำงานกับโจทก์ก็เป็นเงื่อนไขทั่วไปตามสัญญาค้ำประกัน และจำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาค้ำประกันได้โดยต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้โจทก์ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน และโจทก์ให้ความยินยอมด้วย ไม่ใช่กรณีที่จำเลยไม่อาจบอกเลิกสัญญาค้ำประกันเสียเลยทีเดียว เมื่อข้อสัญญาอื่นนอกจากข้อ 2 นี้ มิได้มีผลให้จำเลยรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ การที่จำเลยต้องร่วมรับผิดในหนี้ที่นายมรกตกระทำละเมิดเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานและผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ตามสัญญาข้ออื่นก็เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีแล้ว สัญญาค้ำประกันในส่วนนี้ไม่เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาค้ำประกันไปถึงโจทก์ก่อนที่โจทก์จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่นายมรกตและจำเลย แต่โจทก์กลับแจ้งให้จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาถือว่าโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตนั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่าโจทก์ยินยอมให้ยกเลิกสัญญาค้ำประกันนายมรกตตามที่จำเลยอ้าง อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า นายมรกตกับนายทักษิณต้องแบ่งความรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนเท่าๆ กันหรือไม่ เห็นว่า เมื่อนายมรกตกับนายทักษิณร่วมกันนำสินค้าของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำส่งเงินค่าสินค้าแก่โจทก์อันเป็นการร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์นายมรกตกับนายทักษิณจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกัน มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นเชิงนายมรกตจะแบ่งชำระให้โจทก์เป็นส่วนๆ เฉพาะของนายมรกตหาได้ไม่ จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของนายมรกตโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เสร็จสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน จะให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมให้โจทก์เฉพาะส่วนนายมรกตโดยแบ่งคนละครึ่งกับนายทักษิณไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 291,432 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกันนายมรกตในตำแหน่งพนักงานขับรถ เป็นการค้ำประกันสำหรับกรณีความเสียหายที่เกิดจากการทำหน้าที่พนักงานขับรถโดยเฉพาะนั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายมรกตในขณะที่นายมรกตทำงานในตำแหน่งพนักงานจัดส่งสินค้ามีหน้าที่เก็บเงินค่าสินค้าส่งโจทก์ ที่จำเลยอ้างว่าทำสัญญาค้ำประกันนายมรกตในตำแหน่งพนักงานขับรถฟังไม่ขึ้น อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน