คำพิพากษาฎีกาที่ 2549/52
พนักงานลากิจแต่นายจ้างยังไม่อนุมัติตามระเบียบ พนักงานหยุดงานไปถือว่าขาดงานละทิ้งหน้าที่
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2546 ในตำแหน่งพนักงานขาย ฝ่ายขายบ้าน – ที่ดิน ได้รับเงินเดือนเดือนละ 6,000 บาทและค่าตอบแทนการขายในอัตราร้อยละ 1 ของเงินขายบ้าน – ที่ดิน อีกส่วนหนึ่ง ขณะจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โจทก์ได้รับเงินเดือนเดือนละ 12,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้โจทก์ทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน และหยุด 1 วัน คือวันพฤหัสบดี และให้มาทำงานในวันหยุดตามประเพณีโดยใช้ปฏิบัติในบริษัทจำเลยที่ 1 และในเครือกลุ่มพาราไดส์ด้วย และในปี 2547 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ประกาศกำหนดวันหยุดตามประเพณีไว้ 15 วัน ตามภาพถ่ายเรื่องวันหยุดตามประเพณี ประจำปี 2547 เอกสารท้ายคำฟ้อง จำเลยที่ 1 กำหนดหลักเกณฑ์ในการลาหยุดงานว่า โจทก์ต้องส่งใบลาหยุดงานโดยตรงต่อจำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และต้องให้จำเลยที่ 2 อนุมัติก่อนวันลาหยุดงานทุกครั้ง จำเลยที่ 1 กำหนดจ่ายเงินเดือนทุกวันสิ้นเดือน สำหรับเงินค่าตอบแทนในการขายบ้าน – ที่ดินในอัตราร้อยละ 1 ของเงินยอดขาย จำเลยที่ 1 แบ่งการจ่ายเป็น 2 งวด งวดแรกจะจ่ายให้โจทก์ต่อเมื่อลูกค้าได้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน/ปลูกสร้างบ้านกับจำเลยที่ 1 และงวดที่ 2 จะจ่ายให้โจทก์เมื่อลูกค้าทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์เริ่มทำงานครั้งแรกในโครงการมวกเหล็กพาราไดส์ รีสอร์ท และโครงการมวกเหล็กพาราไดส์ฮิลล์ (หมู่บ้านออสเตรเลีย) จังหวัดสระบุรี โดยให้โจทก์เป็นพนักงานขายหลักในโครงการเพียงคนเดียว ส่วนลูกจ้างอื่นของจำเลยที่ 1 จะทำงานในหน้าที่อื่น ๆ โดยโจทก์จะต้องเดินทางไปมาระหว่างโครงการมวกเหล็กพาราไดส์รีสอร์ท ในวันเสาร์ – อาทิตย์ และโครงการมวกเหล็กพาราไดส์ฮิลล์ ในวันจันทร์ – ศุกร์ ยกเว้นวันหยุดของโจทก์ โดยรถกระบะส่วนตัวของโจทก์เอง ต่อมาจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ไปเป็นพนักงานประจำโครงการบ้านพาราไดส์เขาใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมาเพิ่มอีก 1 โครงการ โดยโจทก์จะเป็นพนักงานขายหลักในโครงการเพียงคนเดียวเช่นกับการขายในโครงการของจำเลยที่ 1 โจทก์จะต้องเดินทางโดยใช้รถกระบะส่วนตัวเดินทางในโครงการดังกล่าวเช่นเดียวกัน และเดินทางไปดูแลการขายในโครงการมวกเหล็กพาราไดส์รีสอร์ท และโครงการมวกเหล็กพาราไดส์ฮิลล์ ในบางครั้งอีกด้วย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่มียอดขายบ้านและที่ดินตามที่ตกลงกันไว้และได้ประเมินผลการปฏิบัติงานของโจทก์ว่าโจทก์ไม่ดูแลเอาใจในใส่ลูกค้าใหม่ ๆ ที่เข้ามาดูโครงการของจำเลยที่ 1 และโจทก์ละทิ้งหน้าที่ในการทำงานเมื่อวันที่ 5 ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ซึ่งจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้อนุมัติลาหยุดงานเป็นเวลา 3 วัน ตามใบลาของโจทก์ ซึ่งข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ 1 ที่เลิกจ้างโจทก์นั้นไม่เป็นความจริงและไม่เป็นธรรมต่อโจทก์กล่าวคือเมื่อวันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2547 โจทก์ยื่นใบลาหยุดงานแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าจะขอหยุดงานในวันที่ 5 ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ซึ่งโจทก์ขอใช้สิทธิหยุดชดเชยการทำงานในวันสงกรานต์วันที่ 13 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2547 รวม 3 วัน ซึ่งเป็นวันหยุดตามประเพณีตามประกาศของจำเลยที่ 1 โดยให้เหตุผลในการลาว่าจะต้องนำรถกระบะส่วนตัวที่ใช้เดินทางในโครงการไปซ่อมเพราะเกิดอุบัติเหตุและประกันภัยรถยนต์ของโจทก์กำลังจะหมดอายุที่อู่รถยนต์ที่กรุงเทพมหานคร และในการยื่นใบลาหยุดดังกล่าว ฝ่ายบุคคลของจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่า จำเลยที่ 2 จะเดินทางมาตรวจดูโครงการบ้านพาราไดส์เขาใหญ่ ที่จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2547 ให้โจทก์ยื่นใบลาหยุดโดยตรงต่อจำเลยที่ 2 ตามภาพถ่ายในลาหยุดงาน ใบรับรถและใบรายการขอเบิกเงินค่าซ่อมรถยนต์เอกสารท้ายคำฟ้อง และในวันดังกล่าวโจทก์ยื่นใบลาหยุดให้แก่จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ปฏิเสธไม่ยอมรับใบลาหยุดโดยแจ้งว่าให้โจทก์นำใบลาหยุดดังกล่าวไปยื่นต่อฝ่ายบุคคลและจำเลยที่ 2 จะดำเนินการให้ โจทก์ยื่นใบลาแก่จำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 2 แจ้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2547 และวันที่ 4 กรกฎาคม 2547 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ได้แจ้งไม่อนุมัติการหยุดชดเชยของโจทก์แต่ประการใด ซึ่งในการปฏิบัติของการลาหยุดชดเชยเมื่อโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ทราบโดยการยื่นใบลาหยุดโจทก์ก็สามารถหยุดตามวันที่แจ้งไปได้เลยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จะไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าได้อนุมัติการขอหยุดแล้วแต่ในครั้งนี้จำเลยที่ 1 กลับแจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่อนุญาตให้โจทก์หยุดชดเชยในวันที่ 5 กรกฎาคม 2547 หลังจากที่โจทก์นำรถยนต์เข้าไปซ่อมที่อู่ในกรุงเทพมหานครแล้วการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ โจทก์จะต้องเดินทางกลับจากกรุงเทพมหานครมายังโครงการของจำเลยที่ 1 ที่จังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นรีสอร์ทอยู่ในภูเขา หากไม่มีรถโจทก์จะมีความลำบากในการเดินทางอย่างมากไม่สามารถเข้าไปในโครงการได้ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างว่าได้มีหนังสือเตือนโจทก์ถึง 2 ครั้ง ตามบันทึกภายในและหนังสือเตือนเอกสารท้ายคำฟ้องนั้นการออกหนังสือเตือนครั้งแรกเป็นเรื่องเนื่องมาจากเมื่อครั้งที่โจทก์เริ่มทำงานโจทก์ได้หยุดงานในวันหยุดตามประเพณีตามวันที่จำเลยที่ 2 ประกาศแจ้ง จำเลยที่ 1 จึงมีหนังสือเตือนโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิหยุดในวันที่ตรงกับวันหยุดตามประเพณี จำเลยที่ 1 ไม่เคยแจ้งหรือมีประกาศให้โจทก์ทราบ โจทก์ไม่เคยทราบ และในระเบียบเรื่องวันลาและหลักเกณฑ์การลาก็ไม่ได้ระบุไว้ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบดังกล่าวแล้วโจทก์ก็ถือปฏิบัติตามส่วนหนังสือเตือนครั้งที่ 2 เป็นเรื่องความผิดพลาดของลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เอง เนื่องด้วยโจทก์จะต้องไปมาระหว่างโครงการของจำเลยที่ 1 ที่จังหวัดสระบุรีและจังหวัดนครราชสีมา ในวันที่จำเลยที่ 1 ออกหนังสือเตือนครั้งที่ 2 ในเรื่องการหยุดงาน ข้อเท็จจริงโจทก์ไม่ได้หยุดงานตามหนังสือเตือน แต่โจทก์เดินทางมาปฏิบัติงานที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบแล้ว นอกจากนี้ข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ว่าโจทก์ไม่มียอดขายบ้าน – ที่ดิน ตามที่ตกลงกันไว้นั้นก็ไม่เป็นความจริง โจทก์สามารถขายบ้าน – ที่ดินในโครงการต่างๆ ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้เป็นจำนวนมาก และจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยังคงค้างจ่ายเงินค่าส่วนแบ่งการขายบ้าน – ที่ดิน ให้แก่โจทก์อีกจำนวนมาก การที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ทั้งที่โจทก์ไม่มีความผิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดชอบใช้ความเสียหายและจ่ายเงินในส่วนของคำตอบแทนในการขายของโจทก์ในอัตราร้อยละ 1 ของยอดขายบ้าน – ที่ดิน ที่ค้างชำระต่อโจทก์ดังนี้
1. ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี โดยจำเลยทั้งสองกำหนดให้ลูกจ้างที่ทำงานมาครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ 6 วัน โจทก์ทำงานให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นเวลา 10 เดือน ยังไม่ครบ 1 ปี แต่จำเลยทั้งสองมีเจตนากลั่นแกล้งมิให้โจทก์ทำงานครบ 1 ปี และต้องเสียสิทธิที่จะได้หยุดพักผ่อนประจำปี จำเลยทั้งสองจึงต้องชำระค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ตามสัดส่วนที่โจทก์ได้ทำงานให้เป็นเวลา 5 วัน เป็นเงิน 2,000 บาท
2. ค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม โจทก์มีอาชีพเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้ลูกค้าของโจทก์ไม่เชื่อถือในตัวโจทก์ ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในการประกอบอาชีพเช่นเดิมต่อไป กว่าโจทก์จะสามารถทำงานได้เหมือนเดิมเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากโจทก์มีอายุ 39 ปี โจทก์จึงขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้ โดยคิดจากเงินเดือนเดือนสุดท้ายเดือนละ 12,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี เป็นเงิน 432,000 บาท
3. ค่าตอบแทนในการขายบ้าน – ที่ดินของโจทก์ในอัตราร้อยละ 1 ของยอดขายบ้าน – ที่ดิน จำเลยที่ 1 แบ่งการจ่ายเงินดังกล่าวเป็น 2 งวด โดยงวดแรกจำเลยที่ 1 จะจ่ายให้โจทก์ต่อเมื่อลูกค้าที่มาซื้อบ้าน –ที่ดินในโครงการของจำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน-ปลูกสร้างบ้าน และงวดที่ 2 จะเลยที่ 1 จะจ่ายให้โจทก์ต่อเมื่อลูกค้าที่มาซื้อบ้าน – ที่ดินทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อขายที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ค้างชำระแก่โจทก์ซึ่งจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อขายเรียบร้อยแล้วโดยจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเงินรวม 154,327.20 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2,000 บาท ค่าเสียหาย 432,000 บาท และค่าตอบแทนในการขายบ้าน – ที่ดิน 154,327.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เคยเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งพนักงายขายประจำโครงการบ้านพาราไดส์เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จริงโดยได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้าย 6,500 บาท ค่าน้ำมันรถเดือนละ 4,500 บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ 1,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 12,000 บาท จำเลยที่ 1 บอกเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 ตามหนังสือแจ้งการเลิกจ้างเอกสารแนบท้ายคำให้การเนื่องมาจากโจทก์ประพฤติปฏิบัติตนฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 เป็นอาจิณ จำเลยที่ 1 เคยออกหนังสือเตือนให้โจทก์ปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 หลายครั้งแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมปฏิบัติตาม จนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 โจทก์ขาดงานโดยไม่มีเหตุอันควร ในวันดังกล่าวเป็นวันต้นเดือนซึ่งโดยปกติลูกค้าจะเข้ามาดูโครงการและติดต่องานในโครงการ จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วว่าให้มาปฏิบัติงาน แต่โจทก์ก็ยังคงขาดงานไป โจทก์จงใจที่จะขัดขืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างแจ้งชัดอันเป็นการปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับในการทำงานของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่ได้ตั้งใจในการทำงานไม่ให้ความร่วมมือในการดูแลเอาใจใส่ต่อลูกค้ารายใหม่ๆ ที่เข้าชมและดูโครงการจนทำให้จำเลยที่ 1 เสียโอกาสที่ขายบ้านได้ซึ่งรวมถึงลูกค้ารายเก่าด้วย อีกทั้งโจทก์ไม่สามารถทำงานร่วมกับทีมงานของผู้บริหารของจำเลยที่ 1 ได้ด้วย ซึ่งหากโจทก์ยังคงทำงานอยู่กับจำเลยก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2547 จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายทุกประการแล้วมิได้เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ จำเลยที่ 1 จ่ายเงินเดือนในเดือนกรกฎาคม 2547 ซึ่งเป็นเดือนที่จำเลยที่ 1 บอกเลิกจ้างโจทก์จำนวน 12,000 บาท และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 12,000 บาท พร้อมทั้งค่าชดเชยจำนวน 12,000 บาท ให้แก่โจทก์ด้วย จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ จำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะเลิกจ้างได้ โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ในส่วนของค่าคอมมิสชันในการขายที่ดินจองจำเลยที่ 1 ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับในอัตราร้อยละ 1 นั้น ก็มิได้เป็นความจริง จำเลยที่ 1 ไม่เคยค้างจ่ายค่าคอมมิสชันในการขายบ้านของโจทก์ จำเลยที่ 1 กำหนดขึ้นให้แก่พนักงานของจำเลยที่ 1 ในการดำเนินการในโครงการบ้านพาราไดส์เขาใหญ่มีสิทธิที่จะได้รับค่าคอมมิสชันทุกคนโดยจะนำเงินดังกล่าวในจำนวนร้อยละ 1 ของมูลค่าที่สามารถขายได้มาจัดสรรแบ่งให้แก่พนักงานทุกคนตามสัดส่วน โดยจำนวนร้อยละ 60 ของค่าคอมมิสชันดังกล่าวจะเป็นของพนักงานผู้ปิดการขายได้ และร้อยละ 40 มาแบ่งให้แก่พนักงานภายในโครงการทุกคน โดยจะจ่ายก่อนร้อยละ 50 ของค่าคอมมิสชันทั้งหมดในวันทำสัญญาส่วนที่เหลือจะจ่ายเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์กันเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าพนักงานที่จะมีสิทธิได้รับค่าคอมมิสชันในส่วนหลังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ปิดการขายหรือพนักงานคนอื่นๆ นั้น จะต้องอยู่ดูแลและให้บริการลูกค้ารายที่ขายได้จนลูกค้ารายดังกล่าวดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ได้ทำสัญญาซื้อขายด้วย หากไม่อยู่ดำเนินการก็จะไม่มีสิทธิได้รับค่าคอมมิสชันส่วนที่เหลือ โดยค่าคอมมิสชันในส่วนหลังจะจัดสรรกันในหมู่พนักงานที่ได้ดำเนินการจนถึงวันที่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์กัน ค่าคอมมิสชันในส่วนของโจทก์นั้น โจทก์ได้รับไปจากจำเลยที่ 1 จนหมดสิ้นแล้วตามใบนำเงินเข้าบัญชีเอกสารแนบท้ายคำให้การส่วนค่าคอมมิสชันในส่วนหลังนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับเพราะโจทก์มิได้อยู่ดูแลลูกค้าจนเสร็จสิ้นการโอนกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 2 มิได้เป็นนายจ้างของโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใดๆ ทางกฎหมายกับโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นการส่วนตัว จำเลยที่ 2 เป็นเพียงพนักงานของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสองตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2546 และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2547 โจทก์ทำงานกับจำเลยทั้งสองติดต่อกันไม่ครบ 1 ปี จึงไม่มีสิทธิที่จะหยุดพักผ่อนประจำปีและไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีด้วย สำหรับการจ่ายค่าคอมมิสชันการขายบ้านและที่ดินนั้น ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าคอมมิสชันให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 1 ของเงินที่ขายบ้านและที่ดินได้โดยจ่ายเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ทำสัญญากับลูกค้าจ่ายร้อยละ 50 ครั้งที่ 2 ในวันที่โอนที่ดินจ่ายอีกร้อยละ 50 ตามเอกสารหมาย จ.2 ดังที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ แต่ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าคอมมิสชันในอัตราตามที่กำหนดไว้ในเอกสารหมาย ล.18 ซึ่งระบุว่าค่าคอมมิสชันในอัตราร้อยละ 1 จากราคาขายบ้านและที่ดิน พนักงานขายจะได้รับร้อยละ 60 ฝ่ายสนับสนุนจะได้รับร้อยละ 40 โดยจ่ายเมื่อรับเงินทำสัญญาร้อยละ 50 และเมื่อโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินร้อยละ 50 เมื่อโจทก์เบิกความรับว่าค่าคอมมิสชันร้อยละ 30 ของร้อยละ 1 ที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้ในวันทำสัญญานั้น โจทก์เบิกจากจำเลยที่ 1 และได้รับมาครบถ้วนแล้ว ส่วนอีกร้อยละ 30 ที่จำเลยที่ 1 จะจ่ายให้ในวันโอนขายบ้านและที่ดินนั้น โจทก์ขอเบิกจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่ยอมจ่ายให้คงจ่ายให้ในลักษณะเงินล่วงหน้าจำนวน 10,000 บาท และจำเลยที่ 1 หักไว้แล้วเป็นเงิน 3,000 บาท แสดงว่าหากจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าคอมมิสชัน จำเลยที่ 1 คงค้างชำระเฉพาะค่าคอมมิสชันร้อยละ 30 ของร้อยละ 1 ที่จำเลยที่ 1 จะจ่ายให้ในวันโอนขายบ้านและที่ดินเท่านั้น แต่พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งว่าได้มีการโอนขายบ้านและที่ดินแต่ละรายกันแล้วในขณะที่โจทก์เป็นพนักงานเมื่อใดและโจทก์ได้ค่าคอมมิสชันในส่วนนี้ในอัตราร้อยละ 30 เป็นเงินเท่าใดข้อเท็จจริงคงฟังได้เพียงว่าโจทก์ได้ขอเบิกจากจำเลยทั้งสองไปและจำเลยทั้งสองจ่ายให้ในลักษณะเงินล่วงหน้า 10,000 บาท และมีการหักค่าคอมมิสชันไว้ 3,000 บาท เท่านั้น จึงยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยทั้งสองมิได้จ่ายค่าคอมมิสชันส่วนนี้อีกเท่าใดจะต้องจ่ายอีกเท่าใด และเมื่อหักกับเงินที่โจทก์เบิกล่วงหน้าไปแล้วคงเหลือเท่าใดข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองค้างชำระค่าคอมมิสชันให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าตอบแทนในการขายบ้านและที่ดินจากจำเลยทั้งสอง สำหรับปัญหาว่าจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เหตุสำคัญที่จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์หยุดงานในวันที่ 5 ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ประกอบกับจำเลยเห็นว่าโจทก์ได้เคยหยุดงานมาดังที่จำเลยได้มีหนังสือเตือนในเรื่องหยุดงานไว้แล้วตามเอกสารหมาย ล.14 และ ล.15 ด้วย ในการหยุดงานของโจทก์ โจทก์อ้างเหตุไว้ในใบลาหยุดงานเอกสารหมาย ล.4 และ จ.15 ว่า “จะเอารถเข้าอู่ทำสีที่เคลมไว้จะหมดอายุเดือน กค. นี้ตามใบแนบท้าย ขอหยุดเพราะสงกรานต์ 5 วัน ยังไม่ได้หยุด” ซึ่งข้ออ้างตามคำเบิกความของโจทก์และที่ปรากฏอยู่ในเอกสารดังกล่าวข้างต้น แม้จะมีเหตุผลที่จะอ้างเพื่อลาหยุดอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่มีความจำเป็นถึงขนาดที่จะต้องหยุดในวันดังกล่าวเท่านั้น ไม่อาจหยุดในวันอื่นได้ โจทก์หยุดงานไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างก็ย่อมถือได้ว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่การงานถึง 3 วัน เมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยมีมูลเหตุจูงใจอย่างอื่นที่จะกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ การเลิกจ้างด้วยเหตุที่โจทก์หยุดงานในวันที่ 5 ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 โดยโจทก์เคยถูกตักเตือนในเรื่องหยุดงานมาแล้ว ย่อมเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลสมควรและเพียงพอ มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 จำเลยทั้งสองไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างโจทก์หรือไม่และต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงเป็นนายจ้างของโจทก์ด้วยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 แต่จำเลยที่ 2 กระทำไปในขอบอำนาจหน้าที่ของตนแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1.1 ว่า ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าคอมมิสชันให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 1 จากราคาขายบ้านและที่ดิน โดยจ่ายร้อยละ 50 ในวันทำสัญญาและอีกร้อยละ 50 จะจ่ายในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และโจทก์อุทธรณ์ข้อ 2.1.2 ว่า เอกสารหมาย จ.22 และ ล.19 ถึง ล.46 ที่โจทก์และจำเลยอ้างส่งต่อศาลสามารถแสดงรายละเอียดค่าคอมมิสชันที่โจทก์ได้รับมาจากจำเลยทั้งสองจำนวนร้อยละ 30 ของยอดคงค้างทั้งหมด ปัญหาข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้วนั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าคอมมิสชันในอัตราร้อยละ 1 จากราคาขายบ้านและที่ดิน พนักงานขายจะได้ร้อยละ 60 ฝ่ายสนับสนุนจะได้ร้อยละ 40 โดยจ่ายเมื่อรับเงินทำสัญญาร้อยละ 50 และเมื่อโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินร้อยละ 50 ตามเอกสารหมาย ล.18 พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งว่าได้มีการโอนขายบ้านและที่ดินกันแล้วในขณะที่โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เมื่อใด และโจทก์ได้ค่าคอมมิสชันในส่วนนี้ในอัตราร้อยละ 30 เป็นเงินเท่าใด อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาวินิจฉัยประการเดียวตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 3 ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองกำหนดให้โจทก์มาทำงานในวันหยุดตามประเพณีเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเอกสารหมาย ล.5 จึงไม่มีระเบียบการใช้สิทธิหยุดชดเชยจากการทำงานในวันหยุดไว้ การที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบการลาหยุดของจำเลยทั้งสองในการใช้สิทธิหยุดชดเชยจากการทำงานในวันหยุดตามประเพณีจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 2 กระทำการแทนจำเลยที่ 1 เกินขอบอำนาจหน้าที่ของตนจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวโจทก์ไม่ทราบมาก่อนว่าโจทก์ไม่มีสิทธิหยุดงานในวันหยุดตามประเพณีและโจทก์ใช้สิทธิหยุดชดเชยการทำงานในวันหยุดตามประเพณีโดยแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบแล้ว หนังสือตักเตือนโจทก์ในเรื่องโจทก์เคยหยุดงานมาก่อนจึงออกมาโดยไม่ถูกต้อง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์เคยถูกตักเตือนในเรื่องหยุดงานมาแล้วย่อมเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลสมควรและเพียงพอ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย ล.5 หมวดที่ 4 ได้ระบุหลักเกณฑ์การลาไว้ว่า “การลาหยุดงานทุกประเภทจะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาก่อน หากพนักงานหยุดงานไปโดยไม่ได้รับอนุมัติให้ถูกต้องและไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแล้ว บริษัทฯ จะถือว่าพนักงานผู้นั้นขาดงานซึ่งนอกจากจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันที่ขาดงานแล้วยังจะต้องได้รับโทษตามควรแก่กรณีด้วย” โจทก์ยื่นใบลาหยุดงานระบุว่า ขอหยุดชดเชยวันหยุดสงกรานต์ 3 วัน ที่ยังไม่ได้หยุด ขอลาหยุดวันที่ 5 ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 แล้วหยุดงานไปโดยผู้บังคับบัญชายังมิได้อนุมัติให้หยุดได้ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การลาในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 อันเป็นการละทิ้งหน้าที่ 3 วัน ทำงานติดต่อกัน แม้โจทก์จะระบุเหตุผลไว้ในใบลาหยุดงานว่า “จะเอารถเข้าอู่ทำสีที่เคลมไว้จะหมดอายุเดือน ก.ค. นี้ตามใบที่แนบท้าย” แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงสิ้นเดือน จึงยังไม่เป็นข้ออ้างที่มีเหตุผลเพียงพอที่จะหยุดงานไปโดยมิได้อนุมัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีมูลเหตุจูงใจอย่างอื่นที่จะกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์ดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมา การที่จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุโจทก์ละทิ้งหน้าที่การงาน 3 วันทำงานติดต่อกันโดยโจทก์เคยถูกตักเตือนในเรื่องหยุดงานมาก่อนแล้ว ย่อมเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างได้ และมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน