วันแรงงานแห่งชาติ
ธนวรรธน์ พลวิชัย
เมื่อวานนี้คือวันแรงงานแห่งชาติ ทำให้ผมคิดว่าเราน่าจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องแรงงานซึ่งมองได้หลายมิติ ทั้งในมุมมองของผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง หรือพรรคการเมือง นอกจากนี้ แรงงานก็ยังเกี่ยวพันกับเรื่องที่ผมได้เขียนไว้ใน 2 ครั้งที่ผ่านมา คือ ก้าวย่างที่ห้ามพลาดของประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง เพราะนโยบายเกี่ยวกับแรงงานเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองต่างๆ เน้นในการรณรงค์หาเสียงในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ในระยะหลังๆ เรามักจะได้ยินผู้คนพูดถึงเรื่องการปรับค่าแรงขั้นต่ำตามทฤษฎี 2 สูงที่เสนอให้มีการยกระดับรายได้ของผู้ที่มีรายได้น้อยคือเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้มีรายได้มากขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจซื้อให้แก่เกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวมากขึ้น และเป็นการลดการพึ่งพิงกำลังซื้อจากต่างประเทศที่มาจากการส่งออกและการท่องเที่ยว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับเศรษฐกิจไทยตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ทั้งนี้ พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย เสนอนโยบายเพื่อค่าแรงขั้นต่ำให้สูงขึ้นจากระดับปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 159-221 บาทต่อวัน (สำหรับ กทม. และปริมณฑล มีค่าจ่างขั้นต่ำที่ 215 บาทต่อวัน) โดยพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีนโยบายปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทภายใน 2 ปีเช่นกันครับ
ถามว่าแรงงานชื่นชอบหรือไม่ในนโยบายนี้ ก็ต้องตอบว่าชอบแน่นอน เพราะจะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 25% แต่ถ้าถามว่าแรงงานจะชอบนโยบายของพรรคไหนมากกว่ากัน ก็คงเดาได้ไม่ยากใช่หรือไม่ครับ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้แรงงานจากหอการค้าโพล ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ชื่นชอบนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทภายใน 2 ปีมีสูงถึง 70.3% ของกลุ่มตัวอย่าง ขณะที่ชอบนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 25% เพียง 24.1% สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เหลือ 5.6% เห็นว่าควรปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามกลไกการตลาดครับ
แต่ถ้าถามนายจ้างว่าอยากให้ค่าแรงขั้นต่ำปรับสูงขึ้นตามนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ หรือไม่ นายจ้างจะตอบทันทีครับว่า ไม่อยากแน่นอน เพราะจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มากน้อยแล้วแต่จำนวนแรงงานที่สถานประกอบการมี แต่ภาคเอกชนส่วนหนึ่งก็ออกมาให้ความเห็นแบบแบ่งรับแบ่งสู้ครับว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำให้สูงขึ้นนั้นทำได้ แต่ควรมีการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (productivity) ของแรงงานให้สูงขึ้นคุ้มกับค่าแรงด้วย หรือไม่ก็ช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับภาคเอกชนเพื่อให้ภาคเอกชนสามารถนำเงินส่วนนี้มาให้ค่าแรงที่สูงขึ้นได้
ทั้งนี้ การยกระดับฝีมือแรงงานนั้นต้องดำเนินการผ่านการฝึกให้ภาคเอกชนสามารถนำเงินส่วนนี้มาให้ค่าแรงที่สูงขึ้นได้
ทั้งนี้ การยกระดับฝีมือแรงงานนั้นต้องดำเนินการผ่านการฝึกอบรมในระยะสั้น โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือหน่วยงานเอกชนเอง (โดยเพิ่มการลดหย่อนภาษีในกรณีที่มีการพัฒนาฝีมือแรงงานโดยเอกชน) และการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนในระบบการศึกษาทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานที่ไม่เรียนต่อในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา
ด้วยเหตุนี้ ล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บอกว่านโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปีจะดำเนินการพร้อมกับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับนายจ้างเพื่อเป็นการลดภาระจากการขึ้นค่าจ้าง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า การเพิ่มค่าจ้างดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้ประกอบการ โดยผู้ประกอบการที่เพิ่มค่าจ้างให้แรงงานจะสามารถลดภาษีคืนได้ ซึ่งจะเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่ายทั้งผู้ใช้แรงงานและนายจ้าง และแน่นอนครับพรรคการเมืองผู้เสนอนโยบาย
แน่นอนครับว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคงจะต้องมีการปรึกษาหารือกันอย่างเต็มที่เมื่อจะดำเนินการกันอย่างจริงจัง เพราะคงต้องมีการเข้าไปพูดคุยในการประชุมไตรภาคีทั้งตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง นายจ้างและภาครัฐ เพราะหากมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการมากเกินไป ซึ่งจะเป็นการกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะต้องปรับขึ้นในขนาดที่เหมาะสมและในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากในปีนี้และปีหน้าราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีส่วนทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่เผชิญกับภาวะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เมื่อพบกับค่าแรงที่สูงขึ้นอาจต้องลดต้นทุนด้วยการเลิกจ้างแรงงาน และหันมาใช้เครื่องจักรแทน หรืออาจหันไปใช้แรงงานต่างด้าวแทน ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อการจ้างแรงงานไทยในระยะยาว
ดังนั้น การพูดคุยกับเอกชนให้หาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกันว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ โดยภาครัฐต้องส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พร้อมกับการลดภาษีที่เหมาะสมกับภาคเอกชนที่มีการจ้างงานด้วยค่าแรงที่สูงขึ้น และมีการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อให้เอกชนสามารถรักษาระดับกำไรเพื่อขยายการผลิตต่อไป ขณะที่แรงงานมีรายได้และอำนาจซื้อมากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างยั่งยืนในอนาคต โดยรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้ดีมากกว่าเดิมในที่สุด.
เริ่มต้นจากวันแรงงาน เล่านิทานอ่านและเล่นกับลูก
ช่วงนี้เป็นวันแรงงาน มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน หากใครไม่รู้จะทำกิจกรรมใดนอกจากไปเที่ยว เรามีเรื่องนี้มานำเสนอ หากใครคิดจะทำสิ่งนี้ เริ่มต้นจากวันแรงงานนี้ก็ดีไม่น้อย เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ให้ผลใหญ่โตเกินคาด
สิ่งที่เห็นในห้องข้างหน้าคือ กลุ่มพ่อแม่และเด็กๆ ตัวน้อย ซึ่งปกติเรามักเห็นกันตามเมืองใหญ่ คนที่เราเห็นกลุ่มนี้กลับเป็นชาวบ้านที่ อบต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ที่มาร่วมเวทีเรียนรู้พ่อแม่
คนที่มาเปิดงานในวันนี้คือ นายปกรณ์ พันธุ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ท่านเล่นขึ้นไปกล่าวเปิดงานแบบไม่ต้องดูสคริปต์ พูดถึงความเป็นมาของโครงการโดยสรุปคือว่า โครงการนี้มีชื่อว่า "เล่านิทาน อ่าน และเล่นกับลูก" เป็นการสืบสานพระปณิธานของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรราชาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในการที่เน้นการพัฒนาเด็กไทยโดยเริ่มต้นจากครอบครัว อันมีโครงการหลักที่ได้รู้จักกันดีคือ โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว
โครงการเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2552 ด้วยการสร้างวิทยากรซึ่งจะเป็นผู้ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการพัฒนาเด็ก รวมทั้งเทคนิค วิธีการเล่านิทาน อ่านและเล่นกับลูก ปัจจุบันนี้มีวิทยากรกว่าพันคนในพื้นที่ 19 จังหวัด สร้างเวทีเรียนรู้พ่อแม่ 75 เวที มีพ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามาร่วมเวทีเรียนรู้รวม 3,260 คน ประมาณ 2,500 ครอบครัว
ส่วนในปี 2554 จะขยายออกไปอีก 11 จังหวัด รวมเป็น 30 จังหวัด และตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายการดำเนินงานออกไปให้ครบทุกจังหวัดภายในปี 2555
มีโอกาสได้ถามอธิบดีปกรณ์หลังจากทำพิธีเปิดงานแล้ว ทำไมท่านพูดแบบไม่ต้องดูสคริปต์ แถมแต่ละคำพูดจาด้วยลีลาสำนวนคมจิตบาดใจ ฟังแล้วผู้คนต้องสะดุดฟังคำพูดของท่านกันเป็นแถวว่า เป็นเพราะพ่อแม่เล่านิทานให้ฟังหรือเปล่าถึงได้คมซะขนาดนี้
อธิบดีปกรณ์ไม่ปฏิเสธแถมเล่าไปถึงชีวิตในวัยเด็กว่า เติบโตมากับเรื่องเล่าและหนังสือที่อ่านออกบ้าง อ่านไม่ออกบ้าง ให้พ่อแม่อ่านให้ฟังนี่แหละ รู้จักทั้งนิทานไทยอย่างปลาบู่ทอง และนิทานฝรั่งเรื่องหนูน้อยหมวกแดง สรุปว่านิทานเป็นความเร้าใจของเด็ก และถ้าพ่อแม่มานั่งอ่านนั่งเล่าให้ฟังก็จะเป็นการใช้เวลาร่วมกับลูก ทำกิจกรรมด้วยกัน ความอบอุ่นในครอบครัวก็จะเกิดขึ้น
คงต้องยอมรับว่าการที่พ่อแม่ลูก ปู่ย่าตายายได้อยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกันนั้น ก่อให้เกิดความรักความอบอุ่นในครอบครัว ความสุขใดจะเทียบเท่าความรู้สึกว่าเรามีผู้ใหญ่เป็นที่พึ่งทางใจ
ทุกวันนี้สังคมอลวน บ้านเมืองอลเวลง ปัญหาสารพันของเด็กๆ นั้นเกิดมาจากการขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว พ่อดูโทรทัศน์ แม่อ่านหนังสือ ปล่อยลูกเล่นเกม แต่ละคนต่างมีโลกส่วนตัวของตนเองทั้งสิ้น
ถามอธิบดีปกรณ์ว่า นิทานไม่ใช่เรื่องเชยไปแล้วหรือ เพราะสมัยนี้เด็กๆ ดูโทรทัศน์ ดูเรื่องราวจากซีดี เทปต่างๆ การจะดึงให้เด็กเข้ามาสู่วงจรการเล่าเรื่องพื้นบ้านหรือนิทานน่าจะเป็นเรื่องยาก
อธิบดีปกรณ์บอกว่า ให้ลองเทียบกันได้ หากนำเด็กสิบคนนั่งดูโทรทัศน์เรื่องหนูน้อยหมวกแดงแล้วให้เด็กเล่าเรื่องให้เราฟัง เด็กจะตอบเหมือนๆ กันหมดว่าหนูน้อยหมวกแดงหน้าตาเป็นอย่างไร คุณยายลักษณะอย่างไร เพราะทีวีนั้นทำให้เด็กไม่ต้องมานั่งคิดเอง มองแล้วเห็นภาพเลย
“สิ่งสำคัญที่อัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์เชื่อคือ “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ท่านตอบตามอย่างคมคายเหมือนเคย
“เพราะฉะนั้นถ้าเด็กๆ ฟังพ่อแม่เล่าเรื่องหนูน้อยหมวกแดงหรือปลาบู่ทอง หรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ ทุกคนจะบรรยายภาพเรื่องที่เล่าออกมาไม่เหมือนกันเลยสักนิด นั่นคือการที่เปิดโอกาสให้เด็กหัดมีจินตนาการนั่นเอง
พวกเราบอกว่าอยากฟังท่านเล่านิทานบ้าง ท่านบอกว่าคราวหน้า ก็ได้แต่หวังว่าเวทีห้องเรียนพ่อแม่นี้จะจับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงมาหัดเล่านิทานเสียด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นใครเรื่องนี้ก็นำไปใช้ได้ทุกครอบครัว ที่สำคัญคือได้ใจเด็ก
สำหรับปีนี้ยังมีการต่อยอดการดำเนินงานออกไปสู่กลุ่มเด็กวัย 7-9 ปี โดยจัดกิจกรรมที่ชื่อว่า “วัยซนค้นโลก” มีการประกวดแข่งขันการทำสิ่งประดิษฐ์ “ของเล่นลอยน้ำ” โดยนำร่องกับโรงเรียนระดับประถมศึกษาในพื้นที่ศูนย์ 3 วัยสานสายใยรักแห่งครอบครัว 30 แห่งทั่วประเทศ และสถานสงเคราะห์เด็กในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์อีก 10 แห่ง เพื่อชิงโล่ประทาน เกียรติบัตร และเงินรางวัลกว่า 1 แสนบาท
อธิบดีปกรณ์บอกทิ้งท้ายว่า ทั้งโครงการ “เล่านิทาน อ่านและเล่นกับลูก” สำหรับเด็กวัย 0-6 ขวบ และกิจกรรมวัยซนค้นโลก สำหรับเด็กวัย 7-9 ปี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการมุ่งหวังที่จะสร้างให้เกิดความอบอุ่นในสถาบันครอบครัวตามแนวทางของ “โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว” เพื่อสร้างเด็กไทยรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและสามารถก้าวไปแข่งขันกับสังคมโลกได้.