ReadyPlanet.com
dot dot
dot
ชมรมบริหารงานบุคคล
dot
bulletสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย
bulletชมรมบริหารงานบุคคล
bulletชมรมบริหารงานบุคคล อยุธยา
bulletชมรมบริหารงานบุคคลรังสิต
bulletชมรมผู้บริหารงานบุคคล อมตะนคร
bulletสมาคมการบริหารงานบุคคล (PAAs)
bulletชมรมบริหารงานบุคคลบางพลี
bulletชมรมนักบริหารงานบุคคลพัทยา
bulletชมรมบริหารงานบุคคลยุคใหม่
bulletชมรมผู้บริหารงานบุคคลจังหวัดราชบุรี
bulletงานบริหารงานบุคคล
bulletชมรมงานบริหารงานบุคคลกรุงเทพฯ
bulletชมรมบริหารงานบุคลสุขสวัสดิ์
dot
ติดต่อราชการศาล
dot
bulletศาลแรงงานกลาง
bulletศาลแรงงานภาค ๒
bulletศาลยุติธรรม
bulletศาลปกครอง
bulletศาลรัฐธรมนูญ
bulletสำนักงานอัยการสูงสุด
bulletกระทรวงยุติธรรม
bulletคณะกรรมการกฤษฎีกา
bulletกรมบังคับคดี
bulletสภาทนายความ
dot
หน่วยงานราชการสำคัญ
dot
bulletกระทรวงแรงงาน
bulletกรมการจัดหางาน
bulletกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
bulletกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
bulletสำนักงานประกันสังคม
bulletกรมสรรพากร
bulletกรมบัญชีกลาง
bulletกรมพัฒนาธุรกิจกาค้า
bulletกระทรวงอุตสาหกรรม
bulletกรมโรงงานอุตสาหกรรม
bulletกรมส่งเสริมอุตสาหรม
bulletการนิคมอุตสาหกรรม
dot
ลิ้งค์เพื่อนบ้าน
dot
bulletสมบัติลีกัล
bulletเอกเซลสำหรับงาน HR โดย อ.สำเริง
bulletบทความดี ๆ จากโกป้อม
dot
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
dot
dot
Newsletter

dot


พยากรณ์อากาศวันนี้
..................................


ราคาน้ำมันวันนี้
..................................



อายุความ มูลละเมิดอันมีความผิดทางอาญา หากในคดีอาญาอายุความมากกว่าให้ใช้อายุความตามนั้น article

 

คำพิพากษาฎีกาที่ 3404/2552
อายุความ มูลละเมิดอันมีความผิดทางอาญา หากในคดีอาญาอายุความมากกว่าให้ใช้อายุความตามนั้น
 
                โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นพนักงานของโจทก์ประจำที่ทำการสื่อสารโทรคมนาคมร้อยเอ็ด โดยจำเลยที่ 1 ตำแหน่งพนักงานตรวจสายระดับ 3 ประจำแผนกบริการโทรคมนาคม มีหน้าที่ให้เช่าใช้บริการ จัดทำสัญญาตรวจสอบรายได้ค่าบริการและติดตามทวงถามหนี้ค่าบริการโทรคมนาคม จำเลยที่ 2 ตำแหน่งหัวหน้าที่ทำการสื่อสารโทรคมนาคมร้อยเอ็ด มีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานและลูกจ้างในสังกัดให้เป็นไปโดยสุจริตตามข้อบังคับคำสั่งและระเบียบแบบแผนของโจทก์และเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย จำเลยที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งหัวหน้าแผนกบริการโทรคมนาคม มีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของพนักงานในแผนกโทรคมนาคม รวบรวมเงินค่าบริการโทรคมนาคมที่เก็บได้นำส่งที่ทำการไปรษณีย์ร้อยเอ็ดเป็นประจำทุกวันโดยเคร่งครัดและจัดทำบัญชีรับชำระเงินค่าบริการนำส่งแผนกธุรการ ระหว่างเดือนมีนาคม 2534 ถึงเดือนกันยายน 2535 จำเลยที่ 1 ได้รับชำระเงินประกันสัญญาค่าติดตั้งและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้มีให้ใช้จากผู้ขอติดตั้งวิทยุโทรคมนาคมและค่าเช่าใช้บริการตามใบแจ้งหนี้ประจำเดือนจากผู้เช่าใช้วิทยุโทรคมนาคม รวมหลายรายเป็นเงินทั้งสิ้น 428,331.30 บาท แล้วไม่นำส่งคืนให้แก่โจทก์ตามระเบียบ แต่ได้ทุจริตยักยอกเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ภายหลังโจทก์ตรวจสอบพบการกระทำทุจริตดังกล่าวจำเลยที่   1 ได้หลบหนีไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 ประมาทเลินเล่อหรือบกพร่องต่อหน้าที่ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปตามระเบียบทำให้จำเลยที่ 1 กระทำทุจริตดังกล่าวขึ้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดชอบกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย 428,331.30 บาท แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย คิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงรายงานการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาความรับผิดชอบทางแพ่งคือ วันที่ 21 กันยายน 2543 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 87,514.55 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 515,845.85 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 515,845.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 428,331.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
 
 
 
จำเลยที่ 1 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา ศาลแรงงานกลางสั่งให้พิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ไปฝ่ายเดียว
 
 
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า หัวหน้าที่ทำการสื่อสารโทรคมนาคมร้อยเอ็ดคนเดิมเคยมีคำสั่งเรื่องการแบ่งส่วนงานของที่ทำการและได้มอบหมายงานให้จำเลยที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าแผนกบริการโทรคมนาคม มีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานในสังกัดแผนกบริการโทรคมนาคมทั้งหมดโดยมีจำเลยที่ 1   เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานในแผนกโทรคมนาคมทั้งสองมีสายการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นขึ้นตรงกับหัวหน้าสำนักงาน ตามคำสั่งที่ 02864/2531 ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 2 มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ทำการได้มีคำสั่งที่ 1/2535 แต่งตั้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่รับชำระเงินค่าเช่าใช้บริการและติดตามหนี้ค่าบริการโทรคมนาคมทุกประเภทโดยปฏิบัติงานร่วมกันแล้วรายงานให้จำเลยที่ 2 ทราบ และมีคำสั่งที่ 2/2535 เรื่องจัดแบ่งส่วนงานภายใน โดยมอบหมายให้จำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าแผนกโทรคมนาคม มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปฏิบัติงานในแผนก จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังคงมีหน้าที่เหมือนเดิม การกระทำทุจริตของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับทราบรายงานแต่อย่างใด จำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบตามกฎหมายและกฎระเบียบของโจทก์ทุกประการแล้ว มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องไว้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคม 2534 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2535 คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและหาตัวผู้รับผิดหรือร่วมรับผิดทางแพ่งได้รายงานผลการสอบสวนให้ผู้ว่าการโจทก์ทราบเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2536 เมื่อนับถึงวันฟ้องจึงเกินเวลา 10 ปีแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30, 448 พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 10 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 8 (5) ขณะดำเนินคดีนี้มีพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ใช้บังคับจึงต้องนำกฎหมายส่วนที่เป็นคุณมาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ด้วย ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายที่โจทก์นำคดีมาฟ้องทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหายเสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2
 
 
 
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เข้าใจว่าจำเลยที่ 3 มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำผิดอย่างไร เมื่อใด ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมในทางปฏิบัติจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ทำการสื่อสารโทรคมนาคมร้อยเอ็ดได้มอบหมายและสั่งงานให้พนักงานทุกคนในสังกัดทุกคนรวมทั้งจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าที่ทำการโดยตรง โดยไม่ผ่านจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกจึงเป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จำเลยที่ 3 จะควบคุมการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 ได้คณะกรรมการสอบสวนวินัยและความรับผิดทางแพ่งได้รายงานผลการสอบสวนให้ผู้ว่าการโจทก์ทราบเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2536 จึงถือว่าโจทก์ทราบการกระทำละเมิดและรู้ตัวผู้ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 11 มิถุนายน 2546 จึงเกินกำหนดเวลา 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
 
 
 
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 
 
 
 
ระหว่างพิจารณา โจทก์และจำเลยที่ 2 แถลงรับว่า จำเลยที่ 2 ผ่อนชำระหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.9 เป็นเงิน 22,500 บาท แก่โจทก์ 
 
 
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 2  ชำระเงินจำนวน 120,277.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 คำขออื่นให้ยก
 
 
                 
                 โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
 
 
 
                 ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสามเป็นพนักงานของโจทก์ประจำที่ทำการสื่อสารโทรคมนาคมร้อยเอ็ด โดยจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานตรวจสาย ระดับ 3 ประจำแผนกบริการโทรคมนาคม มีหน้าที่ให้เช่าใช้บริการเครื่องรับ – ส่งวิทยุโทรคมนาคม จัดเก็บเงินค่าประกันสัญญา ค่าธรรมเนียม ค่าอากรจากผู้ได้รับอนุญาตให้เช่าใช้นำส่งแก่โจทก์ตามระเบียบ ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าแผนกโทรคมนาคม เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าที่ทำการโทรคมนาคมร้อยเอ็ด เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อมาเมื่อระหว่างเดือนมีนาคม 2534 ถึงเดือนกันยายน 2535 จำเลยที่ 1 ได้ทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังยักยอกเงินที่เรียกเก็บจากผู้เช่าใช้บริการของโจทก์แล้วไม่นำส่งเงินเข้าบัญชีโจทก์ตามระเบียบหลายราย รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน  428,331.30 บาท ต่อมาโจทก์มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและหาตัวผู้รับผิดชอบหรือร่วมรับผิดในทางแพ่ง ตามเอกสารหมาย จ.11 ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนได้ทำรายงานผลการสอบสวนแจ้งให้ผู้ว่าการโจทก์ทราบครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2536 ตามเอกสารหมาย จ.21 ต่อมามีการสอบสวนเพิ่มเติม ตามเอกสารหมาย จ.6 และได้นำเรื่องเข้าพิจารณาในคณะกรรมการที่ปรึกษาความรับผิดชอบทางแพ่งของโจทก์แล้วมีมติที่ประชุม ตามเอกสารหมาย จ.7 รายงานผู้ว่าการโจทก์ว่าคณะกรรมการที่ปรึกษาเห็นชอบตามที่เสนอว่าจำเลยที่ 1 ผู้กระทำทุจริตต่อหน้าที่แต่เพียงผู้เดียวให้รับผิดเต็มจำนวน ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 บกพร่องในหน้าที่ที่ไม่ตรวจสอบควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 อย่างใกล้ชิด เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 สามารถทำการทุจริตได้ จึงให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดคนละ 142,777.10 บาท  ซึ่งผู้ว่าการโจทก์เห็นชอบตามที่เสนอ จึงลงนามไว้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2543 หลังจากนั้นกองนิติการของโจทก์จึงมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสามให้ชำระหนี้ ตามเอกสารหมาย จ.8 ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้มีพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ใช้บังคับแล้ว กรณีจึงต้องนำกฎหมายดังกล่าวมาบังคับใช้ในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสาม ฉะนั้นสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะมีเพียงใด ให้คำนึ่งถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยไม่ต้องให้ใช้เต็มจำนวนความเสียหายก็ได้ และไม่ต้องร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ทั้งสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 วรรคสอง (ที่ถูก วรรคสองและวรรคสุดท้าย) มาตรา 10 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก วรรคสอง) แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวและเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ว่าการโจทก์ได้ลงนามรับทราบเห็นด้วยกับมติที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษา ตามเอกสารหมาย จ.7 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2543 โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2546 จึงพ้นกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความในเรื่องละเมิด และนอกจากนี้การกระทำของจำเลยทั้งสามยังเป็นการทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานกฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญาจ้างแรงงานนับแต่วันเกิดเหตุซึ่งเป็นวันที่ทำละเมิดอย่างช้าในปี 2535 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในปี 2546 ก็พ้นกำหนดเวลา 10 ปี แล้วอีกเช่นกันดังนั้นฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงขาดอายุความแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ปรากฏว่าได้มีหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ภายในอายุความ    ตามเอกสารหมาย จ.9 อายุความสำหรับจำเลยที่ 2 จึงสะดุดหยุดลงแล้วเริ่มนับอายุความใหม่นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ (วันที่ 3 กรกฎาคม 2544 ตามที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันแนบท้ายเอกสารหมาย จ.9) และจำเลยที่ 2 ได้ผ่อนชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์แล้วงวดละ 2,500 บาท รวม 9 งวด เป็นเงิน 22,500 บาท ตามเอกสารหมาย ล.11 คงค้างชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้อยู่จำนวน 120,277.10 บาท จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2545 ซึ่งเป็นงวดที่จำเลยที่ 2 เริ่มผิดนัดชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้ยกฟ้อง
 
 
                โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งในข้อ 2.1 ว่า ศาลแรงงานกลางไม่อาจนำเรื่องกฎหมายเป็นคุณตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาบังคับใช้แก่จำเลยทั้งสาม และอุทธรณ์ในข้อ 2.2 ทำนองว่า สิทธิเรียกร้องในเรื่องผิดสัญญาจ้างแรงงานนั้นมีผลเริ่มนับแต่วันที่สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับไปเมื่อโจทก์มีคำสั่งไล่จำเลยที่ 1 ออกจากงานเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2536 ตามเอกสารหมาย จ.22 ไม่ใช่นับแต่วันเกิดเหตุหรือวันทำละเมิดตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ในเรื่องหลักเกณฑ์การนำกฎหมายเป็นคุณมาบังคับใช้ ที่บัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 นั้น ต้องเป็นกรณีนำมาใช้บังคับแก่ความรับผิดทางอาญาของผู้กระทำผิด ฉะนั้นจะนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาบังคับใช้แก่ความรับผิดทางแพ่งเช่นคดีนี้ไม่ได้ ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางนำพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ในส่วนที่เป็นคุณมาบังคับใช้แก่จำเลยทั้งสามคดีนี้จึงไม่ชอบ อุทธรณ์ข้อ 2.1 ของโจทก์จึงฟังขึ้นส่วนเรื่องสิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานมีผลให้นับแต่เมื่อใดนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 บัญญัติไว้ว่า “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป…..” ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสามกระทำละเมิดผิดสัญญาจ้างทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายได้นับแต่วันทำละเมิด ซึ่งถือเป็นวันที่ผิดสัญญาจ้างเป็นต้นไป ส่วนการเลิกจ้างนั้นเป็นเพียงผลจากการกระทำผิดสัญญาจ้างต่างหากฉะนั้นโจทก์จะมีคำสั่งไล่จำเลยที่ 1 ออกจากงานเมื่อใดนั้น ก็ไม่มีผลทำให้ระยะเวลาเริ่มนับอายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในกรณีจำเลยทั้งสามผิดสัญญาจ้างเปลี่ยนแปลงไปที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าอายุความสิทธิเรียกร้องในกรณีผิดสัญญาจ้างแรงงานมีอายุความทั่วไป 10 ปี นับแต่วันเกิดเหตุหรือวันละเมิดจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อ 2.2 ของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
 
 
 
                 ปัญหาวินิจฉัยข้อสุดท้ายตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2.3 ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์โต้แย้งว่า โจทก์ฟ้องยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์เบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ไป เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 ซึ่งมีอายุความฟ้องร้อง 15 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (2) แม้จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ถูกฟ้องคดีอาญาก็ตาม ก็ต้องใช้อายุความ 15 ปี มาบังคับใช้นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ที่บัญญัติความว่าถ้าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายอาญา และมีกำหนดอายุความอาญายาวกว่าที่กำหนดไว้ในวรรคแรก ก็ให้เอาอายุความที่ยาวกว่ามาบังคับใช้นั้น หมายถึงให้บังคับใช้ได้เฉพาะผู้ทำละเมิดหรือผู้ร่วมกระทำละเมิดที่เกี่ยวกับความผิดอาญาเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวที่ทำการทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นความผิดอาญาด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 หาได้ร่วมกระทำการทุจริตแต่อย่างใดไม่การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องมาร่วมรับผิดด้วยก็เนื่องจากบกพร่องในหน้าที่ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 สามารถทำการทุจริตได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นผู้ต้องร่วมรับผิดทางแพ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ภายในอายุความดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงยังไม่ขาดอายุความเช่นกัน ส่วน จำเลยที่ 3 ขาดอายุความแล้ว สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดนัดและขาดพิจารณาศาลแรงงานกลางจึงไม่อาจอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/29 ปัญหานี้แม้โจทก์มิได้ยกขึ้นอ้างในอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวน 428,331.30 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด แต่โจทก์ขอนับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2543 จึงกำหนดให้เพียงนั้น สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้มูลหนี้ละเมิดจะเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกกันได้ก็ตาม แต่เนื่องจากมติที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาความรับผิดชอบทางแพ่งของโจทก์เห็นชอบให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดเพียงจำนวนหนึ่งในสามเป็นเงิน 142,777.10 บาท เท่านั้น ซึ่งโจทก์ก็เห็นชอบด้วย ตามเอกสารหมาย จ.7 ทั้งกรมบัญชีกลางกระทรวงการคลังก็เห็นชอบด้วยตามเอกสารหมาย จ.10 โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสามตามจำนวนหนี้ดังกล่าวและยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้และผ่อนชำระหนี้จากยอดเงินดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.8  และจ.9 แล้ว ฉะนั้นจำเลยที่ 2 จึงหาต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เต็มตามจำนวนค่าเสียหายตามที่โจทก์ฟ้องไม่ จำเลยที่ 2 คงต้องร่วมรับผิดด้วยในวงเงินเพียง 142,777.10 บาท เท่านั้น และเมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ผ่อนชำระเงินคืนโจทก์แล้ว 9 งวด งวดละ 2,500 บาท รวมชำระให้แล้ว 22,500 บาท ตามเอกสารหมาย ล.11 จึงคงเหลือหนี้ที่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมชำระคืนโจทก์เพียง 120,277.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดงวดที่ 10 คือวันที่ 30 พฤศจิกายน 2545   เป็นต้นไปเท่านั้น อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
 
 
 
                พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 428,331.30 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กันยายน 2543 เป็นต้นไป โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 120,277.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากนั้นให้เป็นตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
 
                       
 

 




ฎีกาบรรทัดฐาน

โยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ชอบด้วยกฎหมาย article
สัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลาต่อสัญญาใหม่ เป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ต้องบอกกล่าว + ค่าชดเชย article
การโอนสิทธิความเป็นลูกจ้างตาม ป.พ.พ.แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 article
เปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง ลูกจ้างทราบเรื่องโดยตลอดมิ ได้คัดค้าน แต่ลาออกแล้วใช้สิทธิฟ้องเงินตามข้อตกลงภายหลัง ถือว่าใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่มีอำนาจฟ้อง
ค่าเบี้ยเลี้ยง / ค่าล่วงเวลา คือ ค่าตอบแทนบริษัททัวร์ (เหมาจ่ายสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดชอบด้วยกฎหมาย) article
ตกลงจ่ายเงินโบนัสทุกเดือนเป็นประจำแน่นอน ถือเป็นค่าจ้าง article
ทำงานแม่บ้านร้านเสริมสวยถือเป็นลูกจ้าง article
เกษียณอายุ จ้างต่อ ตกลงไม่จ่ายค่าชดเชยกัน เป็นโมฆะต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย article
ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ต้องวางเงินศาลตามคำสั่งก่อน จึงจะใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนคำสั่งได้ article
ค่าตำแหน่ง ค่ารถ ถือเป็นค่าจ้าง article
เปลี่ยนแปลง ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน (ไมได้ ! ) article
สัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างทำของ article
ค่าคอมมิชชั่น article
ค่าคอมมิชชั่นที่คำนวณจากยอดขาย ถือเป็นค่าจ้าง article
ค่าเที่ยว ถือเป็นค่าจ้าง article
เหมาจ่ายเบี้ยเลี้ยงและค่าทำงานล่วงเวลา article
เดินโพยหวย ล่อซื้อและเลิกจ้างได้
ลักษณะงานที่ไม่อาจกำหนดเวลาทำงานที่แน่นอนได้ article
ตกลงเหมาจ่ายเบี้ยเลี้ยงในการขับรถรับส่งท่องเที่ยวสูงกว่าอัตราที่ควรได้รับถือว่าจ่ายค่าล่วงเวลาโดยชอบแล้ว
โยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ไม่ชอบ article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.

บริษัท กฎหมายปาระมี จำกัด

เลขที่ 511/4 ถนนประชาอุทิศ 117/1 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร (10140)

โทร/Tel : 02 - 8159522, แฟกซ์/Fax : 02 - 8159523, มือถือ/Mobile : 081 - 7936156

อีเมล/E-mail : sawai.prm@gmail.com, เว็บไซต์/Web : www.parameelaw.com