ค้านเอาเงิน สปส.จ่าย สปสช.หากโอนผู้ประกันตนไปบัตรทอง
ที่กระทรวงแรงงาน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงาน กล่าวถึงมติของบอร์ดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่มีมติให้ตั้งทีมเจราจากับตัวแทนของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เรื่องการโยกผู้ประกันตน เข้าระบบ สปสช. ว่า เป็นเรื่องของบอร์ดทั้ง 2 ทีม ที่จะต้องไปเจรจากัน ซึ่งตนก็ให้นโยบายไปแล้วว่า จะต้องทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ ก็ยอมรับความคิดเห็นของผู้ประกันตน
ส่วนกรณีที่มีบอร์ด สปสช.ระบุว่า หากจะให้ผู้ประกันตนโยกไปอยู่ในระบบ จะต้องจ่ายเงินให้กับ สปสช.ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทนั้น ซึ่งในเรื่องดังกล่าวเป็นเงินของผู้ประกันตน ส่วนตัวจึงคิดว่าควรที่จะมีสิทธิ์ในการเลือกว่าจะเข้าสู่การรักษาพยาบาลในระบบใด แต่เชื่อว่าไม่ได้มีผู้ประกันตนทั้ง 100% ที่ต้องการโยกไปอยู่ในระบบ สปสช.
ด้านนายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า บอร์ด สปส.ได้ตั้งตัวแทน เพื่อไปดำเนินการเจรจากับบอร์ด สปสช.จำนวน 4 คน ปรดกอบด้วย ตัวแทนจาก สปส.ตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ตัวแทนภาครัฐ ซึ่งการพูดคุยคงต้องใช้นะยะเวลานานพอสมควร เนื่องจากนะนี้ยังมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจนว่ามีเหตุผลว่าทำไมต้องย้ายไปอยู่ในระบบ สปสช.และต้องทำอย่างไรให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิและบริการเหมือนที่เป็นอยู่
ส่วนกรณีที่มีการออกมาระบุว่าหากมีการโอนย้ายผู้ประกันตนมาอยู่กับ สปสช.และสปส.ต้องจ่ายเงินไปให้สปสช.ราว 20,000 ล้านบาทนั้น ถามว่ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ เพราะหากเป็นเช่นนั้น สปส.สามารถจัดการเองได้ ไม่ต้องให้เขาจัดการแทน
“อย่ามาฉวยโอกาสเอาเงินส่วนนี้ไป เพราะเป็นเงินของผู้ประกันตน ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงอีกประเด็นหนึ่ง แต่พอมาถึงตอนนี้กลับมาพูดคนละประเด็น”ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ชมรมผู้พิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน กล่าวว่า หาก สปส.จะต้องเอาเงินในส่วนของการรักษาสุขภาพ มาจ่ายให้กับทาง สปสช.อีก ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง เพราะทาง สปสช.น่าจะรู้ดีและเข้าใจถึงการรักษาที่รัฐต้องเข้ามาจัดการให้มากกว่านี้ จึงขอเรียกร้องให้ทบทวนเรื่องนี้ เพราะทาง สปสช.จะมองตามมาตรา 10 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างเดียวไม่ได้ แต่ สปสช.ต้องคำนึงถึงการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดให้ โดยไม่ได้กำหนดให้ประชาชนต้องร่วมจ่าย
สปส.เตรียมจ่ายค่ารักษา 7 โรคมะเร็งให้ผู้ประกันตนเพิ่ม เล็งตั้งกองทุนเฉพาะสำหรับรักษาผู้ป่วยร้ายแรง
นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ในวันที่ 26 เมษายนนี้ จะมีการประชุม คณะกรรมการประกันสังคม โดยจะมีการพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการการแพทย์ได้เห็นชอบในการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการรักษา 7 โรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งโพรงจมูก มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่และสำไส้ใหญ่ส่วนปลาย โดยสถานพยาบาลรับการรักษาผู้ป่วยทั้ง 7 โรค สามารถเบิกค่ารักษาตามจริงจากสปส.ได้จากเดิมในวงเงินไม่เกิน 50,00 บาท เพิ่มเป็น 272,100 บาท เนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลคู่สัญญามีความกังวลในเรื่องค่าใช่จ่าย เพราะหากจะรักษาให้ได้ผลตามาตรฐานสากลจะต้องใช้ค่าจ่ายสูง ซึ่งทำให้ผู้ประกันตนเกรงว่าจะไม่ได้รับการรักษาตามมาตรฐาน ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ภายใน 1 เดือนหลังจากที่บอร์ดสปส.พิจารณาเสร็จ รวมทั้งบอร์ดสปส.จะมีการพิจารณาเพิ่มค่าชดเชยในกรณีทุพพลภาพ
“การปรับปรุงเพิ่มค่ารักษาโรมะเร็งครั้งนี้ ได้ในเรื่องของคุณภาพซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับสิ่งที่ดีขึ้น เราได้เพิ่มคุณภาพรวมทั้งการบริการในหลายช่องทางซึ่งมีแนวคิดที่จะทำโรงพยาบาลต้นแบบของสปส. เพื่อให้ผู้ประกันตนไม่รู้สึกเป็นผู้ป่วยชั้น2 เมื่อเข้ารับการรักษา” นายสมเกียรติกล่าว
นอกจากนี้ นายสมเกียรติกล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงกรณีให้ผู้ประกันตนที่เลือกรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สามารถเข้ารับบริการได้ทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดระบบการจ่ายเงินระหว่างโรงพยาบาล ส่วนโรงพยาบาลอื่นๆอยู่ระหว่างการศึกษา
นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ เปิดเผยว่ามีผู้ประกันตนกว่า 2 หมื่นคนป่วยเป็นโรคดังกล่าว แต่ยังมีผู้ประกันตนที่เป้นมะเร็งชนิดอื่นอีก ซึ่งคณะกรรมการการแพทย์กำลังพิจารณาขยายสิทธิ์ไปยังโรคมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งตับ และมะเร็งขั้วปอด นอกจากนี้ยังเตรียมขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ยกเลิกการจำกัดจำนวนครั้งการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ปรับปรุงกฏเกณฑ์การให้ยากระตุ้นเม็ดเลือดให้ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอ ยกเลิกกรณีการเข้ารับการรักษาฉุกเฉินที่กำหนดไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี ยกเลิกการเข้ารักษาไม่เกิน 180 วันต่อปี ให้รักษาได้อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มสิทธิทางทันตกรรม
นพ.สุรเดช กล่าวว่า การปรับวิธีการจ่ายเงินสำหรับผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก คณะกรรมการฯได้พิจารณาว่ามีโรคร้ายแรงอะไรบ้างที่ผู้ประกันตนป่วยแล้วโรงพยาบาลปฏิเสธการรักษา ทำให้ผู้ประกันตนเสียหาย ซึ่งมีอยู่ไม่กี่กลุ่มที่มีการถกเถียงว่าจะรับเป็นผู้ป่วยในหรือไม่ ซึ่งหากช้าจะเกิดความเสียหาย ทั้งนี้ในกลุ่มโรคดังกล่าวจะไม่ใช้วิธีการเหมาจ่ายแต่จะตั้งเป็นกองทุนเฉพาะ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ป่วยในไม่ได้เป็นโรคเฉพาะทางทั้งหมด คณะกรรมการฯเห็นว่าอาจไม่มีความจำเป็นที่โรงพยาบาลทั่วไปต้องรับเป็นผู้ป่วยในทั้งหมด โดยรวมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ที่ผ่านมายังไม่มีปัญหา
“ปัญหาที่ผ่านมาที่ผู้ป่วยโรคเฉพาะทางไม่ได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการ รักษา เนื่องจากยาที่จะใช้ในการรักษามีราคาแพง ซึ่งถ้าจะใช้ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเป็นผู้สั่งเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะประจำอยู่ในโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลศูนย์แพทย์ต่างๆ เป็นต้น คณะกรรมการฯเห็นว่าควรที่จะสนับสนุนตัวยาตามบัญชียาที่จำเป็นในการรักษา โดยจะร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรมในการจัดหายาให้” นพ.สุรเดช กล่าว
“การปรับปรุงเพิ่มค่ารักษาโรมะเร็งครั้งนี้ ได้ในเรื่องของคุณภาพซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับสิ่งที่ดีขึ้น เราได้เพิ่มคุณภาพรวมทั้งการบริการในหลายช่องทางซึ่งมีแนวคิดที่จะทำโรงพยาบาลต้นแบบของสปส. เพื่อให้ผู้ประกันตนไม่รู้สึกเป็นผู้ป่วยชั้น2 เมื่อเข้ารับการรักษา” นายสมเกียรติกล่าว
นอกจากนี้ นายสมเกียรติกล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงกรณีให้ผู้ประกันตนที่เลือกรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สามารถเข้ารับบริการได้ทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดระบบการจ่ายเงินระหว่างโรงพยาบาล ส่วนโรงพยาบาลอื่นๆอยู่ระหว่างการศึกษา
นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ เปิดเผยว่ามีผู้ประกันตนกว่า 2 หมื่นคนป่วยเป็นโรคดังกล่าว แต่ยังมีผู้ประกันตนที่เป้นมะเร็งชนิดอื่นอีก ซึ่งคณะกรรมการการแพทย์กำลังพิจารณาขยายสิทธิ์ไปยังโรคมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งตับ และมะเร็งขั้วปอด นอกจากนี้ยังเตรียมขยายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ยกเลิกการจำกัดจำนวนครั้งการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ปรับปรุงกฏเกณฑ์การให้ยากระตุ้นเม็ดเลือดให้ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอ ยกเลิกกรณีการเข้ารับการรักษาฉุกเฉินที่กำหนดไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี ยกเลิกการเข้ารักษาไม่เกิน 180 วันต่อปี ให้รักษาได้อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มสิทธิทางทันตกรรม
นพ.สุรเดช กล่าวว่า การปรับวิธีการจ่ายเงินสำหรับผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก คณะกรรมการฯได้พิจารณาว่ามีโรคร้ายแรงอะไรบ้างที่ผู้ประกันตนป่วยแล้วโรงพยาบาลปฏิเสธการรักษา ทำให้ผู้ประกันตนเสียหาย ซึ่งมีอยู่ไม่กี่กลุ่มที่มีการถกเถียงว่าจะรับเป็นผู้ป่วยในหรือไม่ ซึ่งหากช้าจะเกิดความเสียหาย ทั้งนี้ในกลุ่มโรคดังกล่าวจะไม่ใช้วิธีการเหมาจ่ายแต่จะตั้งเป็นกองทุนเฉพาะ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ป่วยในไม่ได้เป็นโรคเฉพาะทางทั้งหมด คณะกรรมการฯเห็นว่าอาจไม่มีความจำเป็นที่โรงพยาบาลทั่วไปต้องรับเป็นผู้ป่วยในทั้งหมด โดยรวมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ที่ผ่านมายังไม่มีปัญหา
“ปัญหาที่ผ่านมาที่ผู้ป่วยโรคเฉพาะทางไม่ได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการรักษา เนื่องจากยาที่จะใช้ในการรักษามีราคาแพง ซึ่งถ้าจะใช้ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเป็นผู้สั่งเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะประจำอยู่ในโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลศูนย์แพทย์ต่างๆ เป็นต้น คณะกรรมการฯเห็นว่าควรที่จะสนับสนุนตัวยาตามบัญชียาที่จำเป็นในการรักษา โดยจะร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรมในการจัดหายาให้” นพ.สุรเดช กล่าว