คำพิพากษาฎีกาที่ 2551/2552
ศาลฟังข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน ย้อนสำนวนให้ศาลฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2534 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสจ๊วต ได้รับค่าจ้างเดือนละ 18,450 บาท ค่าอาหารเดือนละ 700 บาท ค่าบริการเดือนละ 3,000 บาท รวม 22,150 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกสิ้นเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2547 จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิด และจำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทำงานกับจำเลยครบ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน เป็นเงิน 221,500 บาท และมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 51 วัน เป็นเงิน 37,655 บาท การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดรายได้จากการประกอบอาชีพ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,800,000 บาท จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 9 มีนาคม 2547 เป็นค่าจ้าง 24,648.41 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 37,655 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 1,800,000 บาท ค่าจ้างค้างชำระ 24,648.41 บาท และค่าชดเชย 221,500 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2547 จำเลยได้รับแจ้งว่าโจทก์ยักยอกเงินของพนักงานซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานเป็นเวลา 10 ปีติดต่อกัน ขณะจำเลยสอบสวนการกระทำของโจทก์ โจทก์ไม่ได้ทำงาน ขาดงานเกินกว่า 3 วัน โดยจำเลยยังไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ การกระทำของโจทก์ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลยอย่างร้ายแรง เป็นการกระทำผิดหน้าที่ และเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 37,655 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 287,950 บาท ค่าจ้างที่ค้างชำระ 24,648.41 บาท และค่าชดเชย 221,500 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่กรรม นางสุรัมภาหรือรวงทิพย์ พรหมมัญ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากศาลฎีกามีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้ว ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลแรงงานกลางส่งสำเนาคำร้องที่นางสุรัมภาหรือรวงทิพย์ พรหมมัญ ผู้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ และไต่สวนคำร้องว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำร้องหรือไม่ศาลแรงงานกลางดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกาแล้ว แต่มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ด้วย ซึ่งเป็นการไม่ชอบ เพราะเมื่อมีการสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาแล้ว การสั่งเรื่องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะอยู่ในอำนาจของศาลฎีกา จึงให้ยกคำสั่งศาลแรงงานกลางที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์เสีย แต่เนื่องจากมีการไต่สวนพยานหลักฐานมาแล้ว ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ และโจทก์ถึงแก่กรรมแล้วจึงอนุญาตให้นางสุรัมภาหรือรวงทิพย์ พรหมมัญ ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะได้
สำหรับประเด็นตามอุทธรณ์ของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสจ๊วต ได้รับค่าจ้างรวมค่าอาหารและค่าบริการเดือนละ 22,150 บาท ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2547 สำหรับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับค่าจ้างที่ค้างชำระนั้น ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ขาดงานเกินสามวันติดต่อกัน และจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์จำนวน 24,648.41 บาท จำเลยมิได้อุทธรณ์ในส่วนนี้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 24,648.41 บาท จึงเป็นยุติไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางแล้วคดีคงมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า โจทก์กระทำการยักยอกเงินทิปของเพื่อนพนักงานถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ผิดข้อบังคับของจำเลยอันเป็นความผิดร้ายแรงจำเลยจึงมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจะต้องรับฟังเป็นยุติก่อนว่า โจทก์ได้กระทำการยักยอกเงินที่แขกทิปให้แก่พนักงานซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของโจทก์จริงหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางได้มีคำวินิจฉัยเพียงว่านายวรัญญู มรรคผล ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของจำเลยได้สอบสวนเรื่องนี้อย่างไร และวินิจฉัยในตอนท้ายว่าการที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ยักยอกเงินของเพื่อนพนักงานซึ่งจำเลยถือว่าโจทก์ทำผิดระเบียบของโรงแรมจำเลยนั้นการยักยอกเงินของเพื่อนพนักงานไม่ได้ระบุไว้ในระเบียบข้อบังคับว่าเป็นความผิดร้ายแรงด้วย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทันทีโดยโจทก์มิได้กระทำผิดร้ายแรง จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางดังกล่าวมีความหมายว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่า โจทก์ยักยอกเงินที่แขกทิปให้พนักงานก็ยังไม่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง เท่ากับศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ชัดว่า โจทก์ได้กระทำการยักยอกเงินที่แขกทิปให้พนักงานจริงดังที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้หรือไม่ จึงยังไม่อาจนำข้อเท็จจริงในปัญหาเรื่องนี้ไปวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยได้ เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ตามที่จำเลยให้การต่อสู้เสียก่อน
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนที่ให้จำเลยชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในประเด็นว่าโจทก์ยักยอกเงินที่แขกทิปให้พนักงานของจำเลยหรือไม่ แล้วส่งสำนวนคืนศาลฎีกาโดยเร็ว แต่หากศาลแรงงานกลางเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเป็นผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงก็ให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีใหม่ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง