คำพิพากษาฎีกาที่ 5191/2552
ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ จำเลย อุทธรณ์ไม่ได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2544จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างทำหน้าที่พนักงานบัญชีประจำฝ่ายบริหารทรัพย์สินธนาคารได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 17,650 บาท และจำเลยได้มอบหมายให้โจทก์ช่วยทำงานให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลยโดยโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างอีกเดือนละ 8,347.50 บาท รวมเป็นค่าจ้างทั้งสิ้น 25,997.50 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 29 ของเดือน ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน 2548 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าโดยกล่าวหาว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 155,985 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า25,997.50 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ได้รับค่าจ้างเดือนละ17,650 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์เบียดบังเอาเงินมัดจำจากการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายของจำเลยไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่งเป็นกรณีร้ายแรง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลแรงงานกลาง คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีสาระสำคัญว่าจำเลยยินยอมจ่ายเงินให้แก่โจทก์381,982.50 บาท โดยจำเลยจะนำเงินดังกล่าวมาวางต่อศาลภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2551 หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีในต้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์และจำเลยไม่ติดใจเรียกร้องหรือดำเนินคดีใดๆ ต่อกันอีกศาลแรงงานกลางพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นและโจทก์ได้รับเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปจากศาลแล้วเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ความว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยซึ่งมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นหลังจากมีการเจรจากันเรียบร้อยแล้วทนายความและเจ้าหน้าที่ศาลได้เรียกโจทก์ซึ่งอยู่ในห้องพิจารณาไปลงลายมือชื่อในเอกสาร โจทก์ลงลายมือชื่อโดยไม่เข้าใจการทำงานของศาลโจทก์ได้รับการผ่าตัดสมอง คิดได้ช้ากว่าคนปกติทั่วไปในบางเรื่อง และมีอาการความจำสั้นบางครั้งใช้ความรู้สึกนึกคิดทางอารมณ์เป็นเครื่องตัดสินใจโดยไม่รู้ว่าเรื่องดังกล่าวถูกหรือผิดและเหมาะสมหรือไม่ ต่อมาโจทก์ได้อ่านสัญญาประนีประนอมยอมความอีกครั้งและไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่ได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามคำฟ้อง และเหตุใดจึงไม่ได้ดอกเบี้ยตามที่ได้ขอแก้ไขคำฟ้องตลอดจนไม่เข้าใจความหมายของข้อความที่ว่าไม่ติดใจเรียกร้องหรือดำเนินคดีใดๆ ต่อกันอีกในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีปัญหาเกี่ยวกับความจำการคิด และการตัดสินใจเนื่องจากถูกผ่าตัดสมอง และไม่มีความรู้ความเข้าใจในข้อกฎหมายตลอดจนการทำงานของศาลก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้แต่งตั้งทนายความซึ่งมีความรู้ความเข้าใจในตัวบทกฎหมายและกระบวนพิจารณาของศาลให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานกลางแทนโจทก์และให้มีอำนาจในการประนีประนอมยอมความได้ซึ่งทนายความโจทก์มาศาลพร้อมโจทก์ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และโจทก์เป็นผู้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยตนเอง แม้โจทก์ได้รับการผ่าตัดสมอง แต่ทนายความโจทก์ย่อมใช้ดุลพินิจเต็มที่และระมัดระวังในการเจรจาต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของโจทก์ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าข้อความและจำนวนเงินที่จะตกลงกับจำเลยนั้นเหมาะสมหรือไม่เพียงใด และโจทก์เป็นฝ่ายเสียเปรียบหรือไม่ก่อนที่โจทก์จะลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งปรากฏว่าเงินจำนวน 381,982.50 บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาจากยอดรวมของค่าชดเชย 155,985 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 25,997.50 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 200,000 บาท ตามคำฟ้องของโจทก์นั้นเอง ส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องนั้น เนื่องจากการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่มีอยู่ในขณะนั้นให้เสร็จไปโดยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันซึ่งอาจต้องมีการสละข้อเรียกร้องหรือข้อต่อสู้บางประการเพื่อให้คดีสามารถตกลงกันได้อันเป็นผลดีแก่โจทก์และจำเลยเพราะทำให้คดีเสร็จไปโดยเร็วประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย เมื่อฝ่ายโจทก์ได้ใช้ดุลพินิจไตร่ตรองและตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยโดยยอมสละข้อเรียกร้องในส่วนดอกเบี้ยและข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งศาลแรงงานกลางได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นด้วยแล้ว คำพิพากษาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันโจทก์ โจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้คือเมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล หรือเมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ไม่ต้องด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งตามข้อยกเว้นของบทกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์