คำพิพากษาฎีกาที่ 5327/2552
เงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างส่วนเงินสมทบ มิใช่เงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ตกลงกันได้มีผลบังคับใช้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด อยู่ในเครือเดียวกัน ร่วมกันจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างโดยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 เริ่มจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการเขตในบริษัทจำเลยที่ 1 ค่าจ้างเดือนละ 18,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน มีข้อตกลงว่าเมื่อทำงานครบ 1 ปี โจทก์มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้สมัครเป็นสมาชิกเงินสะสมดังกล่าวซึ่งมีระเบียบว่าจำเลยที่ 1 จะหักเงินเดือนของโจทก์เป็นเงินสะสมไว้ร้อยละ 5 และจำเลยที่ 1 จะจ่ายเงินสมทบให้อีกร้อยละ 5 ของเงินเดือนโจทก์ทุกเดือน แล้วจะจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบให้โจทก์เมื่อโจทก์ออกจากงาน ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2536 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โอนย้ายโจทก์ไปทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทจำเลยที่ 2 ตำแหน่งผู้จัดการเขตและเดือนตุลาคม 2544 ได้โอนย้ายโจทก์ไปทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทจำเลยที่ 3 ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมการขาย ค่าจ้างเดือนละ 42,000 บาท ครั้นปลายเดือนธันวาคม 2544 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันโอนย้ายโจทก์กลับไปทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทจำเลยที่ 2 ตำแหน่งฝ่ายการตลาดโดยนายวินัย วีระกุชงค์ ผู้บริหารของจำเลยทั้งสามได้เจรจาขอลดเงินเดือนโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยินยอม ในที่สุดจึงให้โจทก์ทำงานในตำแหน่งฝ่ายการตลาดโดยให้เงินเดือนเท่าเดิมและจำเลยที่ 1 ยืนยันว่าโจทก์มีอายุงานต่อเนื่อง โจทก์ทำงานในบริษัทจำเลยที่ 2 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ อัตราเงินเดือน 42,000 บาท เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2545 จำเลยที่ 2 มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าการปฏิบัติงานของโจทก์ไม่เป็นที่พอใจบริษัท ให้มีผลเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2545 โดยจ่ายค่าชดเชยให้ 10 เท่าของเงินเดือน และคืนเงินสะสมส่วนของโจทก์ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 โดยให้โจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบท้ายหนังสือดังกล่าวซึ่งมีข้อความว่าโจทก์ยินยอมและจะไม่เรียกร้องค่าสินไหมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าทั้งคดีแพ่งและอาญาหรือกฎหมายอื่น ขณะนั้นยังไม่มีข้อพิพาทใดๆ เกิดขึ้น ผู้ลงลายมือชื่อฝ่ายจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจกระทำการแทนข้อความดังกล่าวจึงไม่ใช่การประนีประนอมยอมความ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลผูกพันโจทก์ จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานกับจำเลยทั้งสามต่อไปขอคิดค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้าง 48 เดือน เป็นเงิน 2,000,000 บาท ระหว่างทำงานจำเลยทั้งสามหักเงินเดือนของโจทก์เป็นเงิน สะสมไว้ 244,700 บาท เมื่อจำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดจำเลยทั้งสามจึงต้องจ่ายเงินสะสมสมทบให้โจทก์อีก 244,700 บาท และจำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์จนถึงวันจ่ายสินจ้างคราวถัดไป คิดเป็นเงิน 42,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 42,000 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 2,000,000 บาท และเงินสะสมสมทบ 244,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามเป็นบริษัทที่แยกต่างหากจากกันไม่ได้อยู่ในเครือเดียวกันไม่ได้ร่วมกันว่าจ้างโจทก์ให้ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสามการที่จำเลยที่ 1 รับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 และการที่โจทก์สมัครเป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2534 นั้น ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 1 โอนย้ายโจทก์ไปทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2536 โดยโจทก์และจำเลยที่ 2 ยินยอม จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้เป็นนายจ้างของโจทก์อีกต่อไป และโจทก์สิ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 แล้วจึงหมดสภาพจากการเป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องจ่ายเงินสะสมสมทบให้แก่โจทก์ เพราะโจทก์ขาดสมรรถภาพในการทำงานและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการทำงานหลายครั้ง จำเลยที่ 2 ให้โอกาสปรับปรุงแก้ไขแล้วโจทก์ก็ไม่ปฏิบัติ จำเลยที่ 2 จึงโอนย้ายโจทก์ไปทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมการขาย อัตราเงินเดือน 42,000 บาท เท่าเดิม โจทก์พอใจและตกลงยินยอม โจทก์จึงหมดสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 2 โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 โดยไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 3 และไม่สามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งยังฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการทำงานแม้จำเลยที่ 3 จะให้โอกาสหลายครั้งโจทก์ก็ไม่ปรับปรุงแก้ไข วันที่ 31 ธันวาคม 2544 จำเลยที่ 3 จึงโอนย้ายโจทก์กลับไปทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ในตำแหน่งฝ่ายการตลาด อัตราเงินเดือนเดิมเพื่อให้โอกาสโจทก์พัฒนาศักยภาพในการทำงาน โจทก์พอใจและตกลงยินยอมจึงสิ้นสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 3 โจทก์กลับมาทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 โดยไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 2 และยังคงฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการทำงานตลอดมา เช่น มาทำงานสาย ไม่ลงเวลาเข้าและออกจากงาน ไม่ตั้งใจทำงาน ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหาย และละทิ้งหน้าที่การงานเกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการทำงานของจำเลยที่ 2 อย่างร้ายแรงและจำเลยที่ 2 ได้ตักเตือนแล้วหลายครั้งโจทก์ก็ไม่แก้ไขปรับปรุงจำเลยที่ 2 จึงขอเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยให้ 10 เท่า ของเงินเดือนและคืนเงินสะสมส่วนของโจทก์จำนวน 244,700 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับไปแล้วและตกลงยินยอมว่าจะไม่เรียกร้องค่าสินไหมทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้าทั้งคดีแพ่งและอาญาหรือกฎหมายอื่น โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการทำงานของจำเลยที่ 2 อย่างร้ายแรง ผิดซ้ำคำเตือนและละทิ้งหน้าที่เกิน 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยที่ 2 จึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินสะสมสมทบจากจำเลยที่ 2 เพราะการกระทำของโจทก์เป็นความผิดตามที่ระบุไว้ในระเบียบเงินสะสมของจำเลยที่ 2 ข้อ 10 ทั้งไม่ได้เป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 2 ขณะที่จำเลยที่ 2 เลิกจ้าง โจทก์ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 3 และไม่ได้เป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เนื่องจากการเป็นสมาชิกเงินสะสมของจำเลยที่ 1 ได้สิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่โจทก์โอนย้ายไปเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2536 จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ และค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3
ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน แต่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน ต่างมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและระเบียบเงินสะสมพนักงานของตนเอง โดยจำเลยที่ 2 มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย ล.7 และมีระเบียบเงินสะสมพนักงานตามเอกสารหมาย ล.8 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งผู้ควบคุมฝ่ายขายเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 และสมัครเป็นสมาชิกเงินสะสมพนักงานเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2534 ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2536 จำเลยที่ 1 โอนย้ายโจทก์ไปทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ในตำแหน่งผู้จัดการเขต และวันที่ 16 พฤศจิกายน 2544 จำเลยที่ 2 โอนย้ายโจทก์ไปทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3 ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมการขายแผนกเวชสำอาง ฝ่ายการตลาด โดยโจทก์ได้รับเงินเดือนเดือนละ 42,000 บาท ครั้นวันที่ 31 ธันวาคม 2544 โจทก์ถูกโอนย้ายกลับไปทำงานกับจำเลยที่ 2 ในตำแหน่งดีเทลต่างจังหวัด ฝ่ายการตลาดได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 42,000 บาท เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2545 จำเลยที่ 2 มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างกับโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2545 อ้างว่าการปฏิบัติงานของโจทก์ไม่เป็นที่พอใจของจำเลยที่ 2 โดยจ่ายค่าชดเชยให้ 10 เท่า ของเงินเดือนและคืนเงินสะสมส่วนของโจทก์ให้ โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับทราบไว้ท้ายหนังสือดังกล่าว ตามเอกสารหมาย ล.12 และได้รับเงินค่าชดเชยและเงินสะสมดังกล่าวไปครบถ้วนแล้ว แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 แล้วโอนย้ายไปทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับจากนั้นจึงถูกโอนย้ายกลับไปทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 เมื่อเดือนธันวาคม 2544 ต่อมาปลายเดือนธันวาคม 2545 โจทก์จึงถูกจำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาจ้างในขณะที่โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ในตำแหน่งดีเทลต่างจังหวัด ไม่ได้ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 และที่ 3 เฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้น ที่มีสถานะเป็นนายจ้างโจทก์ในขณะที่มีการบอกเลิกสัญญาจ้าง จำเลยที่ 1 และที่ 3 หาได้มีสถานะเป็นนายจ้างโจทก์ไม่แม้โจทก์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกเงินสะสมพนักงานขณะทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างมีระเบียบเงินสะสมพนักงานแยกต่างหากจากกัน แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ตามบัญชีเงินสะสมพนักงานเอกสารหมาย จ.13 กับ จ.15 ว่า ระหว่างที่โจทก์โอนย้ายไปทำงานกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วโอนย้ายกลับไปทำงานกับจำเลยที่ 2 อีกนั้นยังมีการหักเงินสะสมจากเงินเดือนของโจทก์ในอัตราร้อยละ 5 ตลอดมา แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมรับโจทก์เข้าเป็นสมาชิกเงินสะสมพนักงานของตนโดยปริยายแล้ว จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันและปฏิบัติตามระเบียบเงินสะสมพนักงานเอกสารหมาย ล.8 พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบฟังได้ว่า ระหว่างทำงานกับจำเลยที่ 3 โจทก์ขาดความสามารถในการทำงาน ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ไว้เนื้อเชื่อใจไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ จึงถูกโอนย้ายกลับไปทำงานกับจำเลยที่ 2 อีก แต่โจทก์ก็ยังทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายและมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานโดยโจทก์มาทำงานสาย ขาดงานมากและละทิ้งหน้าที่เกิน 3 วัน ทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุสมควรจึงได้มีการพูดคุยเจรจาเรื่องการเลิกจ้างโดยโจทก์ขอให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับค่าจ้าง 10 เดือน เป็นเงิน 420,000 บาท จำเลยที่ 2 ตกลง จากนั้นจำเลยที่ 2 จึงได้ออกหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างตามเอกสารหมาย ล.12 การบอกเลิกจ้างดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างตามความตกลงระหว่างจำเลยที่ 2 และโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง การเลิกจ้างที่เป็นผลมาจากความตกลงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมก่อนเลิกจ้างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้เจรจากันโดยมีข้อตกลงจ่ายเงินเนื่องจากการเลิกจ้างให้แก่โจทก์จำนวน 420,000 บาท โจทก์ตกลงรับเงินดังกล่าวและลงลายมือชื่อรับทราบไว้ในตอนท้ายของหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.12 ซึ่งมีข้อความระบุว่า “ทั้งนี้ข้าฯได้อ่านข้อความข้างต้นแล้วพร้อมทั้งลงลายมือชื่อรับทราบ อีกทั้งยินยอมและจะไม่เรียกร้องค่าสินไหมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าทั้งคดีแพ่งและอาญา หรือกฎหมายอื่น” แม้ข้อความดังกล่าวจะระบุถึงค่าสินไหมที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า แต่ตามสภาพของข้อตกลงสิ้นสุดสัญญาจ้างและพฤติการณ์แห่งการเจรจา เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องสิทธิที่เกิดจากการจ้างงานจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างอีก เงินสะสมสมทบที่โจทก์เรียกร้องเป็นเงินที่เกิดจากข้อตกลงซึ่งไม่มีกฎหมายคุ้มครองแรงงานบัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะ นายจ้างและลูกจ้างสามารถตกลงสละสิทธิเรียกร้องที่มีต่อกันได้และแม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้มอบอำนาจให้นายเกษม จิวรัตนวงศ์ ผู้ลงนามฝ่ายจำเลยที่ 2 มีอำนาจเจรจาทำความตกลงกับโจทก์เป็นลายลักษณ์อักษร แต่หลังจากที่โจทก์เสนอให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 10 เดือน นายเกษมได้นำเรื่องเสนอผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 2 และผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 2 ตกลงยินยอมด้วย แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้ให้สัตยาบันในการกระทำของนายเกษมแล้ว จึงมีผลผูกพัน จำเลยที่ 2 ข้อตกลงสละสิทธิเงินสะสมสมทบมีผลใช้บังคับ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินสะสมสมทบจากจำเลยที่ 2 อีก โจทก์มาทำงานสาย ขาดงานมากและละทิ้งหน้าที่เกิน 3 วัน ทำงานติดต่อกันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 2 กรณีร้ายแรง และเป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583จำเลยที่ 2 จึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ตามที่ศาลให้รับไว้พิจารณาเฉพาะอุทธรณ์ข้อ 3.1 ข้อ 3.2 และข้อ 3.3 ซึ่งโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างโจทก์ด้วยเพราะตลอดระยะเวลาที่โจทก์ทำงานอยู่กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น จำเลยที่ 1 มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ดังจะเห็นได้ว่านายวินัย วีระภุชงค์ กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ออกคำสั่งโอนย้ายโจทก์จากจำเลยที่ 2 ไปทำงานกับจำเลยที่ 3 และออกคำสั่งโอนย้ายโจทก์จากจำเลยที่ 3 กลับไปทำงานกับจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย ล.9 และ ล.10 ประการหนึ่ง อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่เคยเจรจาเรื่องการเลิกจ้างกับจำเลยที่ 2 และไม่ได้ตกลงให้จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ตามหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.12 จำเลยที่ 2 เพียงแต่เคยขอให้โจทก์ยื่นใบลาออก โจทก์แจ้งว่าไม่ประสงค์จะลาออกถ้าจะให้โจทก์ออกจากงานก็ขอให้โจทก์ได้รับสิทธิตามกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน จำเลยที่ 2 ก็ออกหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.12 โจทก์จำต้องลงลายมือชื่อรับทราบในหนังสือดังกล่าวเพราะมิฉะนั้นจำเลยที่ 2 จะไม่จ่ายค่าชดเชย 10 เท่าของเงินเดือนและคืนเงินสะสมให้โจทก์ การเลิกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นผลมาจากความตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่อาจนำมาเป็นเหตุวินิจฉัยว่าไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้ ประการหนึ่ง อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได้สละสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โจทก์ลงลายมือชื่อรับทราบในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.12 โดยไม่ทราบว่ามีข้อความระบุว่าโจทก์ยินยอมและจะไม่เรียกร้องค่าสินไหมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้ารวมอยู่ด้วย ข้อความดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ และสิทธิเรียกร้องเงินสะสมสมทบเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เป็นสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ข้อตกลงสละสิทธิเรียกร้องเงินสะสมสมทบจึงขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงยังมีสิทธิได้รับเงินสะสมสมทบ ประการหนึ่ง อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โดยให้เหตุผลไว้แต่เพียงว่า การปฏิบัติงานของโจทก์ไม่เป็นที่พอใจของจำเลยที่ 2 ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจอ้างว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับว่าด้วยการทำงานอย่างร้ายแรง โดยมาทำงานสาย ไม่ลงเวลาเข้าและออกจากงาน ไม่ตั้งใจทำงานไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชาและละทิ้งหน้าที่การงานเกินกว่า 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรขึ้นต่อสู้ได้ เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสาม ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มาทำงานสาย ขาดงานมากและละทิ้งหน้าที่เกิน 3 วัน ทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 2 กรณีร้ายแรง และเป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตจึงเป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำความผิดตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย ประการหนึ่ง และอุทธรณ์ว่าเงินสะสมสมทบที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยที่ 2 ตามระเบียบเงินสะสมพนักงานเอกสารหมาย ล.8 เป็นเงินที่เกิดจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 หมวด 13 ว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งบัญญัติให้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจ่ายเงินสะสม เงินสมทบและดอกผลจากเงินดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างที่ออกจากงานโดยไม่มีข้อจำกัดหรือข้อยกเว้น ข้อจำกัดหรือการสงวนสิทธิไม่จ่ายเงินสะสมสมทบของจำเลยที่ 2 ที่กำหนดไว้ในระเบียบเงินสะสมพนักงานเอกสารหมายล.8 จึงขัดต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับโจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินสะสมสมทบอีกประการหนึ่ง
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 3.2 ว่าโจทก์จำเป็นต้องลงชื่อในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.12 เพราะหากไม่ยอมลงลายมือชื่อ จำเลยที่ 2 จะไม่ยอมจ่ายเงินค่าชดเชยและเงินสะสมของโจทก์นั้นตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าวขณะยังไม่มีข้อพิพาทเกิดขึ้น ผู้ลงลายมือชื่อฝ่ายจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจกระทำการแทนข้อความดังกล่าวไม่ใช่การประนีประนอมยอมความ ข้อกล่าวอ้างในอุทธรณ์ไม่ปรากฏอยู่ในคำฟ้องอุทธรณ์โจทก์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลแรงงานกลางว่า จำเลยที่ 2 ออกหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างตามเอกสารหมาย ล.12 เป็นผลมาจากการเจรจาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 การที่จำเลยออกหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างโจทก์ดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างตามความตกลงระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ตกลงเลิกสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 3.1 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย อุทธรณ์ข้อ 3.2 ว่า จำเลยที่ 2 เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ข้อ 3.3 ว่า จำเลยทั้งสองต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เพราะยกเหตุความผิดที่ไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้างมากล่าวอ้างภายหลังไม่ได้ เมื่อโจทก์ตกลงเลิกสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากการเลิกจ้างใดๆ ดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อดังกล่าวล้วนไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อ 3.3 อีกประการหนึ่งว่า จำเลยต้องจ่ายเงินสะสมสมทบให้โจทก์เนื่องจากข้อตกลงสละสิทธิเรียกร้องในหนังสือเลิกสัญญาจ้างขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะนั้น เงินสะสมสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างส่วนของนายจ้างไม่ใช่เงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 โจทก์กับจำเลยที่ 2 สามารถตกลงกันได้ไม่เป็นโมฆะ เมื่อโจทก์ตกลงไว้ท้ายหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.12 ว่า โจทก์สละสิทธิไม่เรียกร้องค่าสินไหมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าทั้งคดีแพ่งและอาญาหรือกฎหมายอื่น ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสะสมสมทบตามฟ้องศาลฎีกาเห็นด้วยในผลคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
พิพากษายืน