กรมควบคุมฯชี้วัณโรคดื้อยากลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันการที่วัณโรคกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งมาจากหลายสาเหตุโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน รวมถึงการเคลื่อนย้ายคนในพื้นที่ชายแดนเข้ามาเป็นภาคแรงงานก็อาจจะมีการกระจายของเชื้อวัณโรคตามมาด้วย
แนวโน้มของการดื้อยา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่1 เป็นผู้ป่วยรายใหม่ในระดับปฐมภูมิที่ตรวจเสมหะพบเชื้อ ร้อยละ 1.6 อัตราการดื้อยาจะน้อย กลุ่มที่2เป็นผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ เช่น ผู้ป่วยในเรือนจำ หรือผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความชุกของโรคเอดส์สูง หรืออยู่ในพื้นที่ชุมชนแออัด หรือในสถานบริการขนาดใหญ่ซึ่งจะมีอัตราการดื้อยาร้อยละ 5-7 และกลุ่มที่3 เป็นผู้ที่เคยมีประวัติรักษาวัณโรคมาก่อน หรือรักษาไม่หาย หรือรักษาแล้วกินยาไม่ครบ ขาดยา จะพบอัตราการดื้อยาถึงร้อยละ 34.5
ในประเทศไทยมีผู้ป่วยเชื้อดื้อยาอยู่ราว 770-800 คน ในจำนวนนี้มี 500-600 คน ที่ขึ้นทะเบียนรักษาเป็นผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาและต้องใช้ยาต้านวัณโรคระดับที่ 2 ซึ่งที่มาของปัญหาวัณโรคดื้อยาเกิดจากผู้ป่วยหยุดรับประทานยา ทำให้เมื่อกลับมารับประทานยาใหม่เชื้อวัณโรคจะดื้อยาและเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดรุนแรงขึ้น
สำหรับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อวัณโรคนั้นกรมควบคุมโรคได้เร่งส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัณโรค ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก โดยสร้างแกนนำหรืออสม.ติดตามผู้ป่วยไปถึงบ้านเพื่อดูแลกำกับการกินยาจนครบระยะเวลารักษา
หากพบว่ามีการไอติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ไอแห้งๆหรือไอมีเสมหะ หรือไอมีเสมหะปนเลือด มีอาการเจ็บหน้าอก และมีไข้ต่ำๆตอนบ่ายหรือค่ำ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทันที หากพบว่าเป็นวัณโรคต้องอย่าอายที่จะรักษา เพราะวัณโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ ท้าย