คำพิพากษาฎีกาที่ 2555/2552
เงื่อนไขสัญญาจ้างเกี่ยวกับค่าน้ำมันรถ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2547 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำงานตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 30,000 บาท (เงินเดือน 25,000 บาท และค่าน้ำมันรถ 5,000 บาท)กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน วันที่ 30 พฤศจิกายน2547 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 1 ธันวาคม 2547 โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องและค่าชดเชย 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ในการตกลงว่าจ้างโจทก์ทำงานตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย โจทก์หลอกลวงจำเลยว่ามีรถยนต์ในการเข้าทำงาน ซึ่งสาระสำคัญของการทำงานต้องมีรถยนต์เพื่อให้สะดวกและรวดเร็วในการติดต่อกับลูกค้าของจำเลย แต่ความจริงโจทก์ไม่มีรถยนต์ใช้ในการทำงาน ทำให้จำเลยต้องจ่ายค่าน้ำมันรถให้โจทก์เป็นรายเดือนเดือนละ 5,000 บาท การกระทำของโจทก์เป็นการเจตนาทุจริตต่อจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลางคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2547 ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายขาย ได้รับค่าจ้างอัตราเดือนละ 25,000 บาท ค่าน้ำมันรถจ่ายประจำทุกเดือนเดือนละ 5,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2547
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า พนักงานที่มีรถยนต์รวมทั้งโจทก์ด้วยเบิกค่าน้ำมันรถได้เดือนละ 5,000 บาท เท่ากันทุกเดือน พนักงานที่ไม่มีรถยนต์เบิกค่าน้ำมันรถได้เดือนละ 2,000 บาท ไม่ต้องนำหลักฐานใบเสร็จค่าน้ำมันที่ใช้จริงมาประกอบการเบิกค่าน้ำมันรถ โจทก์มีรถยนต์แต่ไม่ได้ขับรถยนต์มาทำงาน โจทก์ใช้สิทธิเบิกค่าน้ำมันรถทุกเดือน แล้ววินิจฉัยว่า ค่าน้ำมันเป็นเงินที่จ่ายตอบแทนการทำงานปกติของวันทำงานจึงเป็นค่าจ้าง โจทก์ได้รับค่าจ้างเดือนละ 30,000 บาท ตามใบสมัครงานไม่มีข้อกำหนดให้โจทก์ต้องขับรถมาทำงาน ทั้งระเบียบข้อบังคับการทำงานและสัญญาจ้างก็ไม่ได้กำหนดให้โจทก์หรือพนักงานขายต้องนำรถยนต์มาทำงาน การเบิกค่าน้ำมันรถของพนักงานขายไม่ได้ยึดถือว่าพนักงานขายต้องมีรถยนต์หรือต้องขับรถยนต์มาทำงาน การที่โจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายขายมีรถยนต์แต่ไม่ได้ขับรถยนต์มาทำงานแล้วใช้สิทธิเบิกค่าน้ำมันรถทุกเดือนจะถือว่าโจทก์เจตนาทุจริตเบิกค่าน้ำมันรถไม่ได้ จำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 ล.3 และ ล.7 พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2547 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถให้โจทก์เดือนละ 5,000 บาท ตามคำขอเบิกจ่ายของโจทก์ที่คำนวณจากที่โจทก์ใช้จริงเต็มอัตราที่จำเลยให้เบิกได้ทุกเดือน ไม่ใช่การเหมาจ่าย ปรากฏตามคำเบิกความของนายพิสัย เลาหธนาพร กรรมการของจำเลยและคำเบิกความของโจทก์แม้ตามระเบียบข้อบังคับการทำงานและสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 ไม่กำหนดว่าโจทก์ต้องขับรถยนต์มาทำงานก็จริง แต่มีการพูดกันเป็นที่เข้าใจตอนสัมภาษณ์งานว่าลักษณะการทำงานที่สะดวกต้องมีรถใช้ในการปฏิบัติงานนั้น เป็นการอุทธรณ์เพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าโจทก์ต้องนำหลักฐานการใช้น้ำมันมาเบิกค่าน้ำมันรถตามที่จ่ายจริง แต่เบิกได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท และมีการตกลงด้วยวาจาว่าโจทก์ต้องมีรถยนต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่าพนักงานไม่ต้องนำหลักฐานใบเสร็จค่าน้ำมันที่จ่ายจริงมาประกอบการเบิกค่าน้ำมันรถ การเบิกค่าน้ำมันรถไม่ได้ยึดถือว่าพนักงานขายต้องขับรถยนต์มาทำงาน (โจทก์มีรถยนต์) จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ทุจริตเอาเวลาทำงานของจำเลยไปทำกิจการอื่นนอกจากกิจการของจำเลยนั้น จำเลยให้การว่า โจทก์หลอกลวงจำเลยว่าโจทก์มีรถยนต์ในการทำงาน แต่ความจริงโจทก์ไม่มีรถยนต์ ทำให้จำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถให้โจทก์เดือนละ 5,000 บาท เป็นการกระทำทุจริตต่อจำเลย อันเป็นการให้การว่าโจทก์ทุจริตโดยเบิกค่าน้ำมันรถด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จทำให้ได้รับค่าน้ำมันรถไปจากจำเลย จำเลยไม่ได้ให้การว่าโจทก์ทุจริตโดยเอาเวลาทำงานของจำเลยไปทำกิจการอื่น อุทธรณ์ส่วนนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย