คำพิพากษาฎีกาที่ 4919/2552
การนำส่งเงินเข้าบัญชีบริษัท ฯ ล่าช้า ยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาทุจริต เบียดบัง ยักยอกเงิน ศาลพิพากษาเกินคำขอโดยอาศัยอำนาจมาตรา 52 ย่อมทำได้ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2542 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานที่โรงแรมนิกโก้ของจำเลย ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี การเงินและรักษาการแทนผู้จัดการทั่วไปได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน อัตราสุดท้ายเดือนละ 120,000 บาท และได้รับสวัสดิการเป็นค่าบริการอีกเดือนละ 3,000 บาท วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2543 จำเลยเลิกจ้าง อ้างว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่การเงินฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับของบริษัทซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยเลิกจ้างโดยที่โจทก์ไม่ได้กระทำความผิด โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 360,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 212,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและค่าจ้างในวันหยุดตามประเพณี 84,000 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เป็นเงิน 9,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 360,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 212,000 บาท ค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดตามประเพณี 84,000 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 9,000 บาท รวมเป็นเงิน 665,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบ กฎ ข้อบังคับของจำเลย กล่าวคือ เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2542 จำเลยตรวจพบว่า มีลูกค้าใช้บริการโรงแรมจำเลยและชำระเงินให้แก่จำเลยมีการออกใบเสร็จรับเงินจำนวน 81,000 บาท โจทก์นำเงินบางส่วนเก็บไว้ไม่นำส่งเข้าบัญชีบริษัทจำเลยในทันที ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2542 โจทก์กับพวกได้ตรวจและผ่านเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวก เรื่อง ภาษีโรงเรือนประจำปี 2542 เป็นเงิน 120,000 บาท โดยไม่มีชื่อและลายมือชื่อของผู้รับเงินและไม่มีเอกสารประกอบการจ่ายเงิน ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเงินจำนวน 120,000 บาท โจทก์จ่ายเงินเดือนให้ตนเองและพนักงานอื่นเกินกว่าเงินเดือนที่จะได้รบหลายครั้ง ระงับการจ่ายเงินเดือนพนักงานของจำเลยโดยไม่รายงานให้จำเลยทราบตามขั้นตอน การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของจำเลย จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และปฏิบัติหน้าที่หรืองดเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้อง หากมีสิทธิได้รับ โจทก์จะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเพียง 30 วัน สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่เกิน 30 วัน โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปี หากมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่เหลือโจทก์ไม่ใช้สิทธิเอง จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเป็นตัวเงิน โจทก์ออกจากงานไปแล้ว ไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดตามประเพณีและค่าบริการหรือสวัสดิการแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์สละข้อเรียกร้องค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปีและค่าจ้างในวันหยุดตามประเพณี
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 360,000บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 208,000 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 9,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับค่าชดเชยและในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 มิถุนายน 2543) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยที่นำสืบแล้วรับฟังข้อเท็จจริงว่าเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2542 โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงินได้เงินเดือนเดือนละ 120,000 บาท และสวัสดิการค่าบริการอีกเดือนละ 3,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2543 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยอ้างเหตุเลิกจ้าง 3 ประการ ข้อแรกที่ว่าลูกค้าชำระเงินโดยออกใบเสร็จรับเงินแล้ว โจทก์ไม่นำเงินบางส่วนส่งให้แก่จำเลยทันทีนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2542 กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมได้เช่าสถานที่โรงแรมของจำเลยเพื่อจัดเลี้ยงในราคา 51,350 บาท แต่ให้จำเลยออกใบเสร็จรับเงินเกินกว่าจริงในราคา 81,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่าจะจ่ายค่าภาษีให้จำเลยและมอบเงินจำนวน 5,900 บาท ให้แก่จำเลยเพื่อหักภาษีจำนวน 1,944.18 บาท ยังคงเหลือเงินประมาณ 4,000 บาท โจทก์นำเข้าบัญชีจำเลย ในเดือนธันวาคม 2542 ซึ่งนางสาวธิติพร น้ำเงิน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของจำเลยเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายแล้ววินิจฉัยว่าแม้โจทก์จะนำเงินจำนวน 4,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากเข้าบัญชีของจำเลยล่าช้าไปบ้าง เมื่อโจทก์เป็นผู้สั่งให้นำเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของจำเลยเองโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ส่งมอบ ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยสำหรับเหตุเลิกจ้างประการที่ 2 ที่ว่า โจทก์ตรวจและผ่านเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกในเรื่องภาษีโรงเรือนประจำปี 2542 โดยไม่มีชื่อและลายมือชื่อของผู้รับเงินไว้เป็นหลักฐาน ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยค้างชำระค่าภาษีโรงเรือนประจำปี 2541 เป็นเงินประมาณ 3,000,000 บาท นางสาวธิติพร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของจำเลยไปตกลงกับเจ้าหน้าที่ขอให้ประเมินภาษีลดลงโดยจะจ่ายค่าอำนวยความสะดวกเป็นเงิน 350,000 บาท ต่อมาจำเลยให้โจทก์ไปต่อรองแล้วนางสาวธิติพรอนุมัติจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่จำนวน 120,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ไม่ลงลายมือชื่อรับเงินแล้ววินิจฉัยว่า การจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกเพื่อให้เจ้าพนักงานประเมินภาษีโรงเรือนของจำเลยลดลงอันเป็นการมอบเงินเพื่อจูงใจให้เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย เจ้าหน้าที่ย่อมไม่ลงลายมือชื่อรับเงิน เมื่อมีหลักฐานการตรวจสอบและอนุมัติจากบุคคลที่เกี่ยวข้องตามเอกสารหมาย จ.3 ย่อมถือได้ว่าโจทก์กระทำไปโดยสมควรตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว หลังจากจ่ายเงินจำเลยไม่ถูกประเมินภาษีโรงเรือนประจำปี 2542 ในจำนวนที่สูงอีกและไม่ต้องจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกซ้ำซ้อนอีกการกระทำของโจทก์จึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของจำเลย และไม่ได้ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ส่วนเหตุเลิกจ้างประการที่ 3 ที่อ้างว่าโจทก์จ่ายเงินเดือนให้แก่ตนเองและพนักงานอื่นเกินไปกว่าที่ควรได้รับและระงับการจ่ายเงินเดือนนางสาวนุช ธรรมถาวรวนิช โดยไม่รายงานตามขั้นตอน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มิได้เพิ่มเงินเดือนให้แก่ตนเองและพนักงานอื่นโดยมิชอบ จำเลยโดยนางสาวธิติพรกรรมการผู้อำนวยการใหญ่เป็นผู้สั่งระงับการจ่ายเงินเดือนนางสาวนุชเนื่องจากนางสาวนุชไม่ได้ลงบัญชีรายได้ให้ถูกต้องแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบของจำเลยเช่นกัน การที่จำเลยเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อ 2.1 ว่า โจทก์มิได้ร้องทุกข์เป็นการปฏิบัติผิดขั้นตอนหรือฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 108 และมาตรา 109 ที่บัญญัติให้จำเลยทำข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งในคู่มือพนักงานของจำเลยก็มีรายละเอียดตามที่กฎหมายกำหนดโดยเฉพาะวิธีการและขั้นตอนการร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ตามประเด็นที่อุทธรณ์มาแต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.2 ที่ว่า เมื่อลูกค้าชำระเงินและออกใบเสร็จรับเงินให้แล้วโจทก์ไม่ได้นำเงินบางส่วนส่งส่งให้จำเลยทันที กลับนำเข้าบัญชีที่ 2 ของจำเลยหลังจากนั้นประมาณ 4 เดือน แม้จำนวนเงินไม่มากถือว่ามีเจตนาทุจริตแล้วนั้น เห็นว่าถ้าโจทก์มีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินจำนวน 4,000 บาท โจทก์คงไม่นำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีที่ 2 ของจำเลยด้วยตนเอง การส่งเงินให้จำเลยล่าช้าเพียงอย่างเดียวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเงินของจำเลย สำหรับอุทธรณ์ที่ว่า โจทก์ตรวจและผ่านเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกในเรื่องภาษีโรงเรือนประจำปี 2542 โดยไม่มีชื่อและลายมือชื่อผู้รับเงินไว้เป็นหลักฐานการกระทำของโจทก์จึงเป็นการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น เห็นว่าการจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกเพื่อให้เจ้าพนักงานผู้ประเมินภาษีโรงเรือนของจำเลยลดลง อันเป็นการมอบเงินเพื่อจูงใจให้เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย เป็นการที่จำเลยใช้ให้โจทก์ไปทำผิดกฎหมาย เมื่อโจทก์ปฏิบัติตามแล้วเกิดข้อบกพร่องอย่างไรจำเลยจะนำเหตุนั้นมาเป็นเหตุที่จะเลิกจ้างโจทก์ไม่ได้ ส่วนอุทธรณ์ที่ว่าโจทก์จ่ายเงินเดือนให้แก่ตนเองและพนักงานอื่นเกินกว่าควรที่จะได้รับและระงับการจ่ายเงินเดือนนางสาวนุชโดยไม่รายงานตามขั้นตอนเป็นการทุจริตต่อหน้าที่นั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มิได้จ่ายเงินเดือนให้แก่ตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบโจทก์มิได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลย อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์มิได้ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุที่สมควรและเพียงพอ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์
อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 3.1 ที่ว่าตามคำฟ้องโจทก์มิได้ระบุวันจ่ายค่าจ้างไว้ที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่ามีกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนทำให้สามารถคำนวณสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายได้ เป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินไปจากไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน และโจทก์ยังนำสืบไว้ด้วยว่ากำหนดจ่ายค่าจ้างเดือนละ 1 ครั้ง ทุกวันสิ้นเดือน ที่ศาลแรงงานกลางฟังว่า กำหนดจ่ายค่าจ้างกันทุกวันสิ้นเดือนแล้วคำนวณการจ่ายเงินดังกล่าวจึงมิใช่การพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในฟ้อง อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สำหรับอุทธรณ์ข้อ 3.2 ของจำเลยที่ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ ขอคิดดอกเบี้ยค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดให้ร้อยละ 15 ต่อปี เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องแม้จะอ้างเพื่อความยุติธรรมตามกฎหมายเมื่อมีข้อโต้เถียงว่า จำเลยต้องชำระหรือไม่ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจ ไม่จ่ายค่าชดเชยโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยไว้แล้วว่า ค่าชดเชยนายจ้างต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 แม้โจทก์ขอเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่เพื่อความยุติธรรมอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 เห็นสมควรให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวย่อมทำได้ตามกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน