คำพิพากษาฎีกา 2863 /2552
ค่าคอมมิชชั่นที่คำนวณจากยอดขาย ถือเป็นค่าจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างทำหน้าที่พนักงานฝ่ายการตลาด ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,694 บาท กับค่าคอมมิสชั่นซึ่งคิดคำนวณจากยอดสินค้าที่โจทก์จำหน่ายได้ในแต่ละเดือน กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2548 จำเลยสั่งพักงานโจทก์เป็นเวลา 1 เดือน ครั้นถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 โจทก์กลับเข้าไปที่บริษัทจำเลยเพื่อจะทำงานตามปกติ แต่จำเลยไม่ให้โจทก์เข้าทำงานพร้อมทั้งบอกแก่โจทก์ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าและโดยโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ระหว่างวันที่ 1 ถึง 26 กรกฎาคม 2548 กับค่าคอมมิสชั่นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 ถึงเดือนมิถุนายน 2548 จึงขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 9,853 บาท ค่าคอมมิสชั่นจำนวน 125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าว และค่าจ้างจำนวน 7,535 บาท ค่าชดเชยจำนวน 172,164 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
เลยให้การว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 เมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2547 โจทก์ได้รับเงินค่าสินค้าจำนวน 7,500 บาท แล้วไม่นำส่งให้แก่จำเลย จำเลยตรวจสอบพบจึงได้ออกใบเตือนครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ลงวันที่ 21 กันยายน 2547 ต่อมาระหว่างวันที่ 13 ถึง 19 พฤษภาคม 2548 จำเลยได้เชิญนายไพบูลย์ เมืองอุดม เป็นวิทยากรไปเดินสายให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจขายตรงของจำเลย และมอบเงินจำนวน 22,000 บาท ให้โจทก์ไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายแทนวิทยากรแล้วนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาสะสางบัญชีกับจำเลยภายใน 3 วัน นับแต่วันที่โจทก์เสร็จงานกลับมา แต่โจทก์ไม่ออกค่าใช้จ่ายให้นายไพบูลย์ โดยให้นายไพบูลย์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 4,660 บาท เมื่อนายไพบูลย์ทวงถามโจทก์กลับแจ้งว่ายังไม่ได้เบิกจากจำเลย นายไพบูลย์จึงทำหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยทำการตรวจสอบบัญชีพบว่าโจทก์ได้นำใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาสะสางบัญชีกับจำเลยเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2548 แต่จำเลยไม่นำเงินจำนวน 4,660 บาท ไปมอบให้นายไพบูลย์ จำเลยจึงมีหนังสือฉบับลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 เลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชย ค่าคอมมิสชั่นที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินจริงและจำเลยได้จ่ายให้โจทก์รับไปพร้อมกับเงินเดือนครบทุกเดือนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 150,596.53 บาท ค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 7,535 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 9,853 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 4 สิงหาคม 2548) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 ในตำแหน่งพนักงานฝ่ายการตลาด ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,694 บาท และได้ค่าคอมมิสชั่นซึ่งคิดคำนวณจากยอดสินค้าที่โจทก์จำหน่ายได้ในแต่ละเดือนกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน เมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2547 โจทก์ได้รับเงินค่าสินค้าจำนวน 7,500 บาท แล้วไม่นำส่งให้จำเลย จำเลยตรวจสอบพบจึงได้ออกใบเตือนครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ลงวันที่ 21 กันยายน 2547 ตามเอกสารหมาย ล.9 แล้วสั่งพักงานโจทก์เป็นเวลา 14 วัน รวมทั้งออกหนังสือชี้แจงความรับผิดชอบเรื่องเงินของบริษัทแจ้งให้โจทก์ทราบตามเอกสารหมาย ล.10 ต่อมาระหว่างวันที่ 13 ถึง 16 พฤษภาคม 2548 จำเลยได้เชิญนายไพบูลย์ เมืองอุดม และนายทวีรัตน์ ธิติพัทร์ เป็นวิทยากรไปเดินสายให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจขายตรงของจำเลยในแปดจังหวัดภาคใต้ และมอบเงินจำนวน 22,000 บาทให้แก่โจทก์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของโจทก์และวิทยากร วันที่ 20 พฤษภาคม 2548 โจทก์ได้ยื่นแบบฟอร์มสะสางค่าใช้จ่ายพร้อมแนบเอกสารประกอบต่อฝ่ายบัญชีของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.5 ต่อมาวันที่ 27กรกฎาคม 2548 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.11 โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และยังค้างจ่ายเงินเดือนของโจทก์ระหว่างวันที่ 1 ถึง 21 กรกฎาคม 2548 จำนวน 7,535 บาท ส่วนค่าคอมมิสชั่นจำเลยได้จ่ายให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วและฟังว่า หนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย ล.11 ระบุสาเหตุแห่งการเลิกจ้างว่า ในการเดินสายไปประชุมระหว่างวันที่ 13 ถึง 19 พฤษภาคม 2548 นายไพบูลย์มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในระหว่างที่เป็นวิทยากรของจำเลยจำนวน 4,660 บาท นายไพบูลย์ได้ส่งมอบใบเสร็จรับเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดแก่โจทก์ โจทก์ได้รับเงินสำรองจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายของวิทยากรจากจำเลยไปแล้วมีหน้าที่ต้องคืนเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้แก่นายไพบูลย์ในทันที แต่โจทก์ไม่จ่ายเงินคืนแก่นายไพบูลย์โดยมีเจตนาทุจริต แล้วินิจฉัยว่า นายไพบูลย์พยานจำเลยเบิกความกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอยขาดความน่าเชื่อถือ และที่นายไพบูลย์เบิกความว่า ได้มอบหลักฐานให้พนักงานคนอื่นของจำเลยไปเบิกค่าใช้จ่ายนั้นก็ขัดแย้งกับระเบียบปฏิบัติของจำเลยเอง และไม่ตรงกับข้ออ้างในหนังสือเลิกจ้างเอกสารหมาย ล.11 พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้ว่านายไพบูลย์ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเป็นวิทยากรที่ภาคใต้ ในระหว่างวันที่ 9 ถึง 16 พฤษภาคม 2548 เฉพาะค่าที่พักและค่าน้ำมันรถตามเอกสารหมาย ล.5 แผ่นที่ 15 ถึง 17 นายไพบูลย์ได้นำใบเสร็จรับเงินตามเอกสารดังกล่าวมามอบให้โจทก์ที่สำนักงานของจำเลยในวันที่ 19 พฤษภาคม 2548 และโจทก์ได้มอบเงินตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวแก่นายไพบูลย์ไปครบถ้วนแล้วในวันนั้น โจทก์จึงไม่ได้กระทำผิดตามที่ระบุในหนังสือเลิกจ้าง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดกรณีหนึ่งกรณีใดตามที่ระบุไว้ในมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คำเบิกความของนายไพบูลย์ เมืองอุดม พยานจำเลยมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าคำเบิกความของโจทก์ทั้งคำเบิกความของโจทก์ก็มีข้อพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ โจทก์ถูกเลิกจ้างเพราะกระทำผิดและการกระทำนี้เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้กระทำความผิด อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ค่าคอมมิสชั่นเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 บัญญัติความหมายของคำว่า “ค่าจ้าง”ไว้ว่า หมายถึงเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือนหรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เมื่อเงินค่าคอมมิสชั่นเป็นเงินที่โจทก์ได้รับจากการจำหน่ายสินค้าของจำเลยซึ่งคิดคำนวณจากยอดสินค้าที่โจทก์จำหน่ายได้ในแต่ละเดือน ดังนั้น
นอกจากโจทก์จะได้รับเงินเดือนเป็นค่าจ้างประจำอยู่แล้ว หากโจทก์เป็นผู้ขายสินค้า โจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการขายหรือค่าคอมมิสชั่น ซึ่งค่าคอมมิสชั่นนี้โจทก์จะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายที่โจทก์สามารถขายได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเห็นได้ว่า ค่าคอมมิสชั่นเป็นเงินส่วนหนึ่งที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนในการทำงานโดยคิดตามผลงานที่โจทก์ทำได้ ดังนั้นค่าคอมมิสชั่นจึงเป็นค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 จำเลยจึงต้องนำไปรวมกับเงินเดือนของโจทก์อัตราสุดท้ายเดือนละ 8,694 บาท มาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยด้วย ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน