คำพิพากษาฎีกาที่ 2053/2552
ลาออกเอง อ้างถูกข่มขู่จะแจ้งความดำเนินคดีจึงยอมไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายเงินค่าชดเชย ไม่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 45,800 บาท ค่าชดเชย 228,900 บาท เงินโบนัสประจำปี 2547 เป็นเงิน 19,900 บาท ค่าเสียหายอีก 412,200 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เนื่องจากจำเลยตรวจพบว่าโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลและนำเงินของจำเลยเข้าฝากธนาคาร แต่โจทก์กลับทุจริตแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองด้วยการนำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวและโจทก์กลัวความผิดที่ได้กระทำจึงสมัครใจเขียนใบลาออกและทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่จำเลยไว้โดยที่จำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วศาล
แรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมโจทก์ทำงานอยู่กับบริษัทอื่น ต่อมาเมื่อปี 2540 จึงโอนมาทำงานกับจำเลยในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 19,900 บาท ค่าน้ำมัน 3,000 บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ 22,900 บาท โจทก์สิ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลยเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2547 โดยศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เขียนใบลาออกและทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยความสมัครใจของโจทก์เอง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เขียนใบลาออกและทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยสมัครใจหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่านายณัฐพจน์ โสตถิวันวงศ์ กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยข่มขู่โจทก์ให้เขียนใบลาออกและทำหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งเป็นเรื่องร้ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์สมัครใจลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยเอง แต่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เห็นว่า ข้อความที่นายณัฐพจน์พูดขู่โจทก์ถ้าไม่รับว่านำเงินของจำเลยไป นายณัฐพจน์จะแจ้งความดำเนินคดีและนำข่าวไปลงหนังสือพิมพ์เพื่อให้ตระกูลของโจทก์เสียหายจนเป็นเหตุให้โจทก์เขียนใบลาออกและทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้น การขู่ว่าจะดำเนินคดีแก่โจทก์เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม หากโจทก์มิได้กระทำการทุจริตเอาเงินของจำเลยซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ไปก็ไม่จำต้องเกรงกลัวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการข่มขู่ส่วนการขู่ว่าจะนำข่าวไปลงหนังสือพิมพ์เพื่อให้ตระกูลของโจทก์เสียหาย แม้เป็นการใช้สิทธิที่เกินสมควรไปบ้าง แต่ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดทำให้โจทก์ต้องเกรงกลังถึงขนาดต้องยื่นใบลาออกจึงไม่เป็นการข่มขู่เช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่โจทก์เขียนใบลาออกและทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่จำเลย จึงเป็นการกระทำโดยความสมัครใจของโจทก์เอง กรณีไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน