คำพิพากษาฎีกาที่ 4814/2552
พบทรัพย์สินบริษัทในล๊อกเกอร์ เลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างฯ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2546 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายทำหน้าที่เป็นพนักงานคุมเครื่อง CNC มิลลิ่ง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,730 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน ระหว่างทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2550 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 จำเลยค้างค่าจ้างโจทก์ 19 วัน เป็นเงิน 3,629 บาท ค่าล่วงเวลา 66.5 ชั่วโมง โดยโจทก์มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างปกติเป็นเงิน 2,382 บาท ค่าทำงานในวันหยุด 6 วัน เป็นเงิน 1,146 บาท และค่าทำงานล่วงเวลาในวันหยุด 26.5 ชั่วโมง มีสิทธิได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างปกติเป็นเงิน 1,884 บาท นอกจากนี้จำเลยให้ค่าความสามารถที่โจทก์ทำงานในเวลากลางคืนระหว่างเวลา 20.30 ถึง 05.00 นาฬิกา วันละ 65 บาท นอกเหนือจากค่าจ้างในการทำงานปกติเป็นเวลา 17 วัน เป็นเงิน 1,105 บาท ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด และจำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่เกิน 6 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 34,380 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 45 วัน เป็นเงิน 8,595 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 8,595 บาท ค่าความสามารถในการทำงาน 1,105 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายค่าจ้าง 3,629 บาท ค่าล่วงเวลา 2,382 บาท ค่าทำงานในวันหยุด 1,146 บาท ค่าล่วงเวลาในวันหยุด 1,884 บาท และค่าชดเชย 34,380 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ประพฤติผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง โดยโจทก์ยักยอกหรือลักทรัพย์ของจำเลยไป กล่าวคือ โจทก์ได้ลักเศษโลหะซึ่งเหลือจากการผลิต เป็นเศษเหล็ก และเศษสแตนเลสรวม 9 ชิ้น โดยโจทก์นำเศษโลหะดังกล่าวออกจากสายงานการผลิต และนำไปไว้ในถุงมือของโจทก์ซุกซ่อนในตู้ล๊อกเกอร์ ซึ่งเป็นตู้เก็บของใช้ส่วนตัวของโจทก์ โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง และฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งหรือระเบียบของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ ส่วนค่าจ้างค้างจ่าย ค่าทำงานล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าทำงานล่วงเวลาในวันหยุด และค่าความสามารถที่โจทก์ทำงานในเวลากลางคืน จำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งคัดค้านกันมีว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2546 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,730 บาท ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุว่า โจทก์ลักเศษโลหะประเภทเศษเหล็กและเศษสแตนเลสของจำเลยไปอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างและฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ค่าทำงานล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าทำงานล่วงเวลาในวันหยุด และค่าความสามารถที่โจทก์ทำงานในเวลากลางคืนให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมโจทก์ใช้ล๊อกเกอร์ร่วมกับช่างคนอื่นอีก 1 คน กรณีเป็นไปได้ว่า เศษเหล็กและเศษสแตนเลสที่ค้นพบในล๊อกเกอร์ของโจทก์เป็นของช่างที่ใช้ล๊อกเกอร์ร่วมกับโจทก์ เศษโลหะอยู่ในเขตโรงงานยังอยู่ในความครอบครองของจำเลย และหากโจทก์จะลักเศษโลหะดังกล่าวน่าจะนำไปไว้ในที่ลับตา จึงไม่เชื่อว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลย ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยพบเศษเหล็กและเศษสแตนเลสในล๊อกเกอร์ของโจทก์ซึ่งเป็นล๊อกเกอร์ที่จำเลยให้โจทก์ใช้สำหรับใส่ทรัพย์สินเฉพาะที่เป็นของโจทก์เท่านั้น โจทก์ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เศษเหล็กและเศษสแตนเลสดังกล่าวเป็นของผู้ใด และหากเป็นของบุคคลอื่น เหตุใดโจทก์จึงไม่แจ้งให้หัวหน้าผู้ดูแลทราบ การที่โจทก์เอาเศษเหล็กและเศษสแตนเลสดังกล่าวไปเก็บไว้ในล๊อกเกอร์ที่จำเลยให้โจทก์ใช้สำหรับใส่ทรัพย์สินเฉพาะที่เป็นของโจทก์ ถือว่าเป็นการแย่งการครอบครองและเป็นการเอาไปโดยทุจริต การกระทำของโจทก์จึงเป็นความผิดอาญาฐานลักทรัพย์นายจ้างนั้น เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ศาลแรงงานกลางมีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาที่ว่า โจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องต่อศาลแรงงานกลางว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลย อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างและฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์ ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยหรือไม่ ดังนี้ศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 8,595 บาท นับแต่วันฟ้อง นั้น เห็นว่า ดอกเบี้ยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่อยู่ในบังคับมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยสำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง