คำพิพากษาฎีกาที่ 2556/2552
วางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่ สำนักงานคุ้มครองแรงงานให้พนักงานมารับ ถือว่าคำสั่งถึงที่สุด ฟ้องเพิกถอนไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งพนักงานฝ่ายผลิต ต่อมาโจทก์ได้เลิกจ้างจำเลยที่ 2 เพราะกระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีว่า โจทก์นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย จำเลยที่ 1 ได้สอบสวนแล้วมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยจำนวน 14,670 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ 5/2549 ลงวันที่ 9 มกราคม 2549 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินจำนวน 14,670 บาท ที่โจทก์วางไว้คืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า คำสั่งของจำเลยที่ 1 ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งโจทก์จะต้องจ่ายค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นจำนวน 14,670 บาท จำเลยที่ 1 ได้มอบเงินค่าชดเชยตามที่โจทก์วางไว้ให้จำเลยที่ 2 รับไปแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงินค่าชดเชยดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์อีก
จำเลยที่ 2 ไม่ให้การ
ศาลแรงงานภาค 2 มีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสองแล้วเห็นว่า การที่โจทก์ได้นำเงินตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 มาวางไว้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2549 และนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อฟ้องเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 หลังจากนั้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 โจทก์ได้แจ้งความจำนงให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างรับเงินไปตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ได้ การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ได้ยินยอมตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 แล้ว การดำเนินคดีนี้ของโจทก์ต่อไปจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง (ที่ถูกให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ)
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ตามข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานภาค 2 ปรากฏว่า โจทก์ประกอบกิจการผลิตรองเท้าโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้าง ระหว่างทำงานโจทก์มีคำสั่งเลิกจ้างจำเลยที่ 2 เนื่องจากจำเลยที่ 2 มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับพนักงานอื่น จำเลยที่ 2 จึงได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี ต่อมาพนักงานตรวจแรงงานได้สอบสวนแล้วมีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีที่ 5/2549 เรื่องค่าชดเชย ว่าการทะเลาวิวาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับพนักงานอื่นนั้น เกิดขึ้นนอกเวลางาน นอกบริษัทโจทก์เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน จึงไม่เป็นความผิดในกรณีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 จึงให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย 14,670 บาท แก่จำเลยที่ 2 คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวลงนามโดยจำเลยที่ 1 ในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าว โจทก์ได้มีหนังสือถึงสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2549 แจ้งว่าโจทก์ได้รับทราบคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวในวันที่ 17 มกราคม 2549 ซึ่งจะครบกำหนดวางเงินค่าชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในวันที่ 31 มกราคม 2549 โจทก์จึงนำเงินค่าชดเชยมาวางต่อพนักงานตรวจแรงงาน แต่โจทก์ยังไม่พอใจคำวินิจฉัยตามที่มีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าว จึงประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาลและขอให้พนักงานตรวจแรงงานระงับการจ่ายค่าชดเชยไว้ก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จากนั้นวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานโดยระบุในคำฟ้องด้วยว่าก่อนฟ้องโจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งจำเลยที่ 1 โดยการวางเงินค่าชดเชยและสงวนสิทธิที่จะใช้สิทธิทางศาลแล้ว แต่ศาลแรงงานภาค 2 ตรวจฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่ได้วางเงินต่อศาลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 วรรคสาม จึงมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินมาวางศาลภายใน 10 วัน โจทก์จึงได้นำเงินมาวางศาล ตามคำแถลงลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 โดยระบุว่าโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อไป ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยที่ 2 ได้ไปรับเงินค่าชดเชยที่โจทก์นำมาวางไว้ต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการเดียวว่า การที่โจทก์นำเงินค่าชดเชยจำนวนตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานวางไว้ต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี เป็นการยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานแล้วหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าการที่โจทก์วางเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเพื่อจะไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญาเนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานการวางเงินดังกล่าวโจทก์ได้ขอให้พนักงานตรวจแรงงานระงับการจ่ายเงินไว้ก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เมื่อโจทก์นำคดีมาสู่ศาล ศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินหากประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป โจทก์ก็ได้นำเงินจำนวนตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานมาวางศาลแล้ว การวางเงินต่อพนักงานตรวจแรงงานของโจทก์จึงมิใช่การยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานโดยไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 124 วรรคสาม บัญญัติให้พนักงานตรวจแรงงานซึ่งสอบสวนแล้วปรากฏว่าลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดที่นายจ้างต้องจ่าย ก็ให้พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่ง การจ่ายเงินดังกล่าวให้จ่าย ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้าง ณ สำนักงานของพนักงานตรวจแรงงานหรือสถานที่อื่นตามเงื่อนไขในมาตรา 124 วรรคสี่ บทบัญญัติดังกล่าวนี้เป็นกรณีที่นายจ้างพอใจในคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงจ่ายเงินเพื่อให้ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างมารับเงินดังกล่าวตามสถานที่ข้างต้น แต่หากเป็นกรณีที่นายจ้าง ลูกจ้าง หรือ ทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ได้มีคำสั่งตามมาตรา 124 ก็ให้นำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่งตามมาตรา 125 วรรคหนึ่ง มิฉะนั้นคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานนั้นจะเป็นที่สุดตามมาตรา 125 วรรคสอง และหากเป็นกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายนำคดีไปสู่ศาลแรงงานมาตรา 125 วรรคสาม บัญญัติให้นายจ้างนั้นต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งนั้น จึงจะฟ้องคดีได้ ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าโจทก์นำค่าชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานไปวางต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 21 มีนาคม 2549 ว่าโจทก์ได้แจ้งความจำนงให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างรับเงินไปตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ได้รับเงินค่าชดเชยดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ตามสำเนาบันทึกคำให้การ เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 3 จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 124 โดยครบถ้วนแล้ว และพอใจในคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวแล้วเช่นกัน ดังนั้นแม้ตามหนังสือถึงพนักงานตรวจแรงงานเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และ 6 จะระบุว่าโจทก์ประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาล และขอให้พนักงานตรวจแรงงานระงับการจ่ายค่าชดเชยไว้ก่อน หรือตามคำฟ้อง คำแถลงขอวางเงินลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 และตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 เมษายน 2549 จะมีข้อความระบุว่าโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีนี้ต่อไปก็ไม่ถือว่าเป็นกรณีโจทก์ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่จะเป็นเหตุให้นำคดีไปสู่ศาลแรงงานตามมาตรา 125 อีกต่อไป ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ต้องวางเงินต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อไม่ให้ต้องถูกดำเนินคดีอาญาเนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานนั้น เห็นว่า การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 124 ที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 151 วรรคสอง นั้น จะต้องเป็นกรณีที่พนักงานตรวจแรงงานสอบสวนแล้วมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างหรือทายาทโดยธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตายภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่งตามมาตรา 124 วรรคสาม แล้วนายจ้างไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง เป็นเหตุให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุดตามมาตรา 125 วรรคสอง แต่ถ้าได้ทราบคำสั่งแล้ว ภายในสามสิบวันซึ่งอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่อาจใช้สิทธินำคดีไปสู่ศาลตามมาตรา 125 วรรคหนึ่งบ อันเป็นสิทธิในการโต้แย้งคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้จะถือว่าในระหว่างนั้นนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานไม่ได้ และหากนายจ้างนำคดีไปสู่ศาลก็เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนในการโต้แย้งคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ได้สั่งตามมาตรา 124 ซึ่งนายจ้างต้องวางเงินต่อศาลตามจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานด้วยจึงจะฟ้องคดีได้ จึงมิใช่การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่สั่งตามมาตรา 124 เช่นกัน ดังนั้นที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ต้องวางเงินต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อไม่ให้ต้องถูกดำเนินคดีอาญาและโจทก์ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน