คำพิพากษาฎีกา 1014/51
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูไม่มีผลย้อนหลัง
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2546 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างทำหน้าที่ครูสอนหนังสือในโรงเรียนเอกชนของจำเลย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 148,891 บาท โดยทำสัญญาจ้างเป็นรายปี เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 1 ปี จำเลยก็จะขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี ครั้งสุดท้ายทำสัญญาจ้างสำหรับปีการศึกษา 2547 ถึง 2548 โดยสิ้นสุดสัญญาเดือนพฤษภาคม 2548 แต่จำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 446,673 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2548 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ข้อ 35 (2)
ซึ่งแก้ไขโดยระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2547 ระบุให้จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยกรณีครูชาวต่างประเทศที่ออกเพราะเหตุที่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง
ตามข้อ 8 วรรคหนึ่ง โจทก์เป็นครูชาวต่างประเทศที่ออกจากงานเพราะเหตุที่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนเมื่อปี 2546 จำเลยจ้างโจทก์ซึ่งเป็นครูชาวต่างประเทศเข้าทำงานเป็นลูกจ้างทำหน้าที่ครูสอนหนังสือในโรงเรียนของจำเลยโดยทำสัญญาจ้างเป็นรายปี เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างก็จะทำสัญญาจ้างกันใหม่ โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 148,891 บาท ครั้งสุดท้ายทำสัญญาจ้างสำหรับปีการศึกษา 2547 ถึง 2548 โดยสัญญาสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2548 หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ขยายระยะเวลาการจ้างหรือต่อสัญญาหรือทำสัญญากับโจทก์อีก ขณะที่ทำสัญญาจ้างฉบับสุดท้ายยังไม่มีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 แต่ก่อนจะครบกำหนดตามสัญญาจ้างนั้น ระเบียบดังกล่าวได้ประกาศและมีผลใช้บังคับแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการเดียวว่า จะนำระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ข้อ 35 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 มาใช้บังคับแก่โจทก์ได้หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยทำขึ้นก่อนระเบียบดังกล่าวมีผลใช้บังคับในขณะนั้นยังไม่มีบทบัญญัติตัดสิทธิครูชาวต่างประเทศที่ออกเพราะเหตุที่ครบกำหนดตามสัญญาจ้างให้ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย บทบัญญัติดังกล่าวที่แก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังมีผลเป็นการตัดสิทธิโจทก์ให้ไม่ได้รับค่าชดเชย จึงใช้บังคับแก่โจทก์ไม่ได้นั้น เห็นว่า ในขณะที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจ้างสำหรับปีการศึกษา 2547 ถึง 2548 นั้น ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ข้อ 35 ไม่ได้มีบทบัญญัติตัดสิทธิในการได้รับค่าชดเชยของครูชาวต่างประเทศที่ออกเพราะเหตุที่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง แต่สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งทำขึ้นตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ข้อ 8 วรรคหนึ่ง ได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนพฤษภาคม 2548 หลังจากที่ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2547 ใช้บังคับแล้ว ซึ่งตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2547 ข้อ 3 ให้ยกเลิกความในข้อ 35 แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 และให้ใช้ความตามบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่โดยในข้อ 35 (2) บัญญัติให้ครูชาวต่างประเทศที่ออกเพราะเหตุที่ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ตามข้อ 8 วรรคหนึ่ง ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ซึ่งสิทธิในการได้รับค่าชดเชยเป็นสิทธิทางแพ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถูกเลิกสัญญาการเป็นครู เมื่อโจทก์ถูกเลิกสัญญาการเป็นครูเพราะเหตุที่ครบกำหนดตามสัญญาจ้างภายหลังระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2547 ใช้บังคับดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ที่ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน