คำพิพากษาฎีกา 1349/51
เงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ สิทธิรับบริการทางการแพทย์เพราะเกิดอุบัติเหตุ (ฉุกเฉินโรงพยาบาลแรกเบิกได้ ย้ายใหม่ต้องเข้าโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม ไปที่อื่นเบิกไม่ได้)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทซินเน็คประเทศไทย จำกัด ตำแหน่ง กราฟฟิคดีไซเนอร์ และเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 โดยมีวิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาลเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2546 โจทก์ขับรถจักรยานยนต์ไปเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของบุคคลอื่น แรงกระแทกทำให้โจทก์ลอยข้ามรถยนต์คู่กรณีแล้วหล่นลงกลางถนนเอกมัย ศีรษะฟาดพื้นถนน หมวกนิรภัยแตก โจทก์หมดสติไปเหตุเกิดบริเวณถนนเอกมัยเยื้องกับร้านบ้านไร่กาแฟ ในช่องทางเดินรถไปถนนสุขุมวิทขณะนั้นฝนตกหนัก สภาพถนนมีน้ำท่วมขัง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสมีพลเมืองดีนำโจทก์ส่งโรงพยาบาลสุขุมวิท เมื่อโจทก์รู้สึกตัวแพทย์ได้ฉีดยาระงับความปวด และแจ้งให้บิดาของโจทก์ชื่อนายสุพจน์ ธีระปถัมภ์ ทราบ เมื่อบิดาโจทก์มาถึงเห็นว่าโจทก์มีบาดแผลฉกรรจ์ บาดแผลปนเปื้อนด้วยดินโคลนและน้ำสกปรกหากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้ติดเชื้ออย่างรุนแรง จึงขอย้ายโจทก์ไปรักษาที่โรงพยาบาลเวชธานี ระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาลเวชธานี ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปเป็นเงิน 62,676.10 บาท โจทก์ยื่นคำร้องต่อสำนักงานประกันสังคมเพื่อขอรับเงินประโยชน์ทดแทนดังกล่าว สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 ปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าวโจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่โจทก์ประสบอันตรายรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถยนต์ทำให้กระดูกท่อนล่างซ้ายติดกับข้อเข่าหักแบบเปิดนั้นจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วนเพราะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งในเบื้องต้นโจทก์ได้เข้ารับบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลสุขุมวิทมาแล้ว ดังนั้นเมื่อต้องการย้ายสถานพยาบาล โจทก์ก็ควรจะย้ายไปรับบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลตามสิทธิเพราะมีขีดความสามารถที่จะให้การรักษาได้ การที่โจทก์เข้ารับบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลเวชธานีเป็นความประสงค์ของโจทก์เอง และถือว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรที่โจทก์ไม่สามารถไปรับบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลตามสิทธิได้ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ตามขอ และ มีมติให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 และคณะกรรมการอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสุขุมวิทนั้นเนื่องจากพลเมืองดีเป็นผู้นำส่งไม่ได้เกิดจากความประสงค์ของโจทก์หรือบิดา โรงพยาบาลเวชธานีเป็นโรงพยาบาลเครือข่ายระดับบนของสำนักงานประกันสังคม มีศัลยแพทย์ทางกระดูกประจำอยู่ มีระยะห่างจากโรงพยาบาลสุขุมวิท 5 ถึง 6 กิโลเมตร การจราจรติดขัดน้อยกว่าที่จะเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ เมื่อพิจารณาถึงความเจ็บป่วยของโจทก์ ลักษณะบาดแผลแล้วจำเป็นต้องให้การรักษาโดยเร่งด่วนเพื่อรักษาชีวิตและร่างกายของโจทก์ การเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเวชธานีจึงมีเหตุสมควรและเมื่อรวมระยะเวลาที่โจทก์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสุขุมวิทและโรงพยาบาลเวชธานีแล้วซึ่งเป็นระยะเวลาเร่งด่วนเป็นการรักษาภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่เข้ารับบริการทางการแพทย์จนย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ และโรงพยาบาลตามสิทธิมีญาติของโจทก์รับราชการอยู่ จึงย่อมได้รับความสะดวก แต่ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้วจึงเข้ารักษาโรงพยาบาลเวชธานี ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1101/2547 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2547 และจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์จำนวน 62,676.10บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2546 เวลาประมาณ19 นาฬิกา โจทก์เกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์เฉี่ยวชนบริเวณถนนสุขุมวิท 63 ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง โดยเฉพาะขาข้างซ้ายกระดูกใต้หัวเข่าหักและหมดสติ มีผู้นำส่งโรงพยาบาลสุขุมวิทเวลาประมาณ 19.43 นาฬิกา โจทก์ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่โรงพยาบาลดังกล่าว ต่อมาบิดาโจทก์ลงชื่อในคำรับรองไม่ยินยอมให้แพทย์ทำการรักษาหรือทำการผ่าตัดโดยไม่ขอใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสุขุมวิทและย้ายโจทก์ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเวชธานี ในวันเดียวกันเวลา 22.40 นาฬิกา แพทย์ทำการผ่าตัดล้างแผลดามกระดูกด้วยโลหะ ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเวชธานีจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2546 เป็นเวลา 3 วัน เสียค่าบริการทางการแพทย์ไปเป็นเงิน 62,676.10 บาท ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมผู้ประกันตนจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานประกันสังคมกำหนดไว้ คือจะต้องเข้ารับการบริการทางการแพทย์ยังสถานพยาบาลที่กำหนดไว้ในบัตรรับรองสิทธิ หากไม่สามารถรับบริการจากสถานพยาบาลที่กำหนดไว้ได้จะต้องเป็นกรณีจำเป็นที่ต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉินหรือกรณีจำเป็นต้องได้รับการบริการทางการแพทย์เพราะเกิดอุบัติเหตุการที่โจทก์ประสบอุบัติเหตุถูกรถเฉี่ยวชนดังกล่าวถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินเพราะเกิดอุบัติเหตุแต่เมื่อเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสุขุมวิทอันมิใช่โรงพยาบาลตามสิทธิแล้ว หากโจทก์ประสงค์จะย้ายไปรักษาตัวต่อจะต้องย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น การที่โจทก์ย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลเวชธานีจึงไม่ถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินอีกต่อไป หากโจทก์อ้างว่ารักษาอาการป่วยเจ็บของโจทก์จะมีปัญหาการติดเชื้ออย่างรุนแรงยากต่อการรักษาโจทก์ต้องยินยอมให้โรงพยาบาลสุขุมวิททำการรักษาฉุกเฉินต่อไป การที่โจทก์ไม่ยินยอมและย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเวชธานีโดยอ้างว่าโรงพยาบาลเวชธานีเป็นโรงพยาบาลระดับบนกว่าโรงพยาบาลสุขุมวิท จึงเป็นความประสงค์ของโจทก์เองที่จะเข้ารับการบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลอื่นนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินจำนวนดังกล่าว คำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1101/2547 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2547 และให้จำเลยจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์ตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 พฤศจิกายน 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นผู้ประกันตน มีวิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาลเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2546 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา โจทก์ประสบอุบัติเหตุขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถยนต์ของบุคคลอื่น โจทก์ได้รับบาดเจ็บและหมดสติไป มีบาดแผลที่ขาหลายแห่งกระดูกขาหัก มีพลเมืองดีนำโจทก์ส่งโรงพยาบาลสุขุมวิท โจทก์รู้สึกและได้โทรศัพท์ไปหาบิดา หลังจากนั้นเวลาประมาณ 20 นาฬิกา บิดาโจทก์มาถึง ได้ขอให้โรงพยาบาลสุขุมวิทฉีดยาระงับการปวด และเอกซเรย์กระดูกขาให้และทำเรื่องขอย้ายโจทก์ไปรักษาที่โรงพยาบาลเวชธานี ทำบันทึกไว้ว่า ไม่ประสงค์จะให้โรงพยาบาลสุขุมวิทรักษาต่อไปตามบันทึกในเอกสารหมาย จล.1 โจทก์ได้รับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลเวชธานี โดยเข้ารักษาในวันเดียวกันนั้นเวลาประมาณ 22 นาฬิกา แพทย์ทำการผ่าตัดกระดูกดามกระดูกขาและรักษาบาดแผล เสียค่าบริการทางการแพทย์ประเภทผู้ป่วยในเป็นเงิน 62,676.10 บาท ตามเอกสารหมาย จล.5 วันที่ 28 และ 29มิถุนายน 2546 เป็นวันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นวันหยุดราชการ ต่อมาวันที่ 30มิถุนายน 2546 โจทก์ย้ายไปรักษาตัวที่ดามกระดูกขาและรักษาบาดแผลตามสิทธิ โจทก์นำค่าบริการทางการแพทย์ที่ชำระไปที่โรงพยาบาลเวชธานี จำนวน62,676.10 บาท มาขอเบิกจากสำนักงานประกันสังคม แต่จำเลยปฏิเสธไม่จ่ายโดยให้เหตุผลว่า การที่โจทก์เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสุขุมวิทแล้วย่อมหมดสิทธิที่จะเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งอื่นอีก ยกเว้นโรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น แล้ววินิจฉัยว่า พฤติการณ์ที่โจทก์ถูกนำส่งที่โรงพยาบาลสุขุมวิทโดยมิได้เกิดจากความสมัครใจของโจทก์ ประกอบกับความเจ็บป่วยที่โจทก์ได้รับจากอุบัติเหตุมีบาดแผลลักษณะฉกรรจ์ ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.2 ภาพที่ 4 จำเป็นต้องได้รับการรักษาและผ่าตัดโดยเร่งด่วนไม่อาจรอคอยได้ แต่โรงพยาบาลสุขุมวิทไม่ได้ดำเนินการรักษาในทันที กลับรอญาติของโจทก์มาถึงก่อนจึงน่าเชื่อว่าโรงพยาบาลสุขุมวิทยังไม่ได้ให้บริการทางการแพทย์แก่โจทก์เป็นให้การรักษาเบื้องต้น ต้องรอญาติของโจทก์มาติดต่อก่อนจึงจะตกลงรับโจทก์เข้ารักษาต่อไป โจทก์และบิดาโจทก์จึงยังมีสิทธิที่จะเลือกโรงพยาบาลที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดที่จะให้การรักษาโจทก์ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายของโจทก์ เมื่อบิดาโจทก์เห็นว่าโรงพยาบาลเวชธานีเป็นโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกประจำอยู่และมีเครื่องมืออุปกรณ์การผ่าตัดที่สมบูรณ์กว่า จึงเชื่อถือและให้ความไว้วางใจให้ทำการรักษาโจทก์ ก็ย่อมเป็นสิทธิที่โจทก์พึงกระทำได้และขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนเวลาประมาณ 20 นาฬิกา ฝนตกหนัก การเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลเวชธานี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที ย่อมได้รับความสะดวกและปลอดภัยแก่โจทก์ซึ่งมีอาการป่วยหนัก การตัดสินใจของโจทก์จึงมีเหตุผลสมควรแล้ว ส่วนบิดาโจทก์ได้ทำหนังสือให้ไว้แก่โรงพยาบาลสุขุมวิทว่า ไม่ประสงค์จะรับการรักษาที่โรงพยาบาลสุขุมวิทต่อไปตามเอกสารหมาย จล.1 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โรงพยาบาลสุขุมวิทมิได้รับโจทก์เข้ารับการรักษา ถึงแม้บิดาโจทก์จะทำบันทึกเอกสารหมาย จล.1 ไว้ก็ไม่มีผลต่อการพิจารณาแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกันตนเข้ารักการบริการทางการแพทย์ครั้งแรกที่โรงพยาบาลเวชธานีและเข้ารับการรักษาภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงโดยไม่นับรวมวันหยุดราชการ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ตามที่จ่ายไปจริง ตามอัตราที่กำหนดไว้ในประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่องกำหนดจำนวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์(ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 ข้อ 4.2 กรณีจึงมีเหตุเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 เอกสารหมาย จล.1 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 1101/2547 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2547 เอกสารหมาย จล.7 และโจทก์มีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในประกาศสำนักงานประกันสังคมดังกล่าว และมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัด แต่โจทก์ขอนับแต่วันฟ้อง จึงกำหนดให้ตามขอ
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า จำเลยจะต้องจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์ที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกันตนจ่ายให้แก่โรงพยาบาลเวชธานีไปแล้วหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อแพทย์โรงพยาบาลสุขุมวิทให้ยาลดความเจ็บปวดและทำการเอกซเรย์ให้ซึ่งถือเป็นการรักษาพยาบาลเบื้องต้นเพื่อรักษาชีวิตของโจทก์ไว้แล้วอาการเจ็บป่วยของโจทก์ในตอนหลังจึงไม่ถือเป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว หากโจทก์จะย้ายก็ต้องย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น การย้ายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเวชธานีเป็นการพ้นกรณีฉุกเฉินแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนตามกฎหมายพิเคราะห์แล้ว ตามประกาศของสำนักงานประกันสังคมจำเลย เรื่องกำหนดจำนวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 ระบุไว้ในข้อ 4.2 ว่า “กรณีจำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์เพราะเกิดอุบัติเหตุจ่ายเงินเป็นค่าบริการทางการแพทย์เฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ประกันตนเข้ารับบริการทางการแพทย์ครั้งแรก...” ดังนั้นจำเลยจะต้องจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ที่โจทก์จ่ายให้แก่โรงพยาบาลเวชธานีไปแล้วหรือไม่ จึงต้องพิจารณาก่อนว่า มีความจำเป็นที่โจทก์ผู้ประกันตนจะต้องเข้ารับบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลเวชธานีหรือไม่ เห็นว่า หลังจากโจทก์ประสบอุบัติเหตุโจทก์ได้รับบาดเจ็บและหมดสติไปโดยโจทก์มีบาดแผลที่ขาหลายแห่งและกระดูกขาหัก มีพลเมืองดีนำโจทก์ส่งโรงพยาบาลสุขุมวิท โจทก์รู้สึกตัวและโทรศัพท์ไปหาบิดา เมื่อบิดาโจทก์มาถึงจึงขอให้โรงพยาบาลสุขุมวิทฉีดยาระงับอาการปวดและเอกซเรย์กระดูกขาให้ หลังจากนั้นจึงทำเรื่องขอย้ายโจทก์ไปรักษาที่โรงพยาบาลเวชธานี โดยทำบันทึกไว้ว่าไม่ประสงค์จะให้โรงพยาบาลสุขุมวิทรักษาโจทก์ต่อไปและโจทก์ได้รับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลเวชธานีโดยแพทย์ทำการผ่าตัดกระดูกดามกระดูกขาและรักษาบาดแผลเสียค่าบริการทางการแพทย์ประเภทผู้ป่วยในเป็นเงิน 62,676.10 บาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าในขณะที่จะย้ายโจทก์ออกจากโรงพยาบาลสุขุมวิทไปรักษาต่อนั้น โรงพยาบาลสุขุมวิทได้ทำการรักษาเบื้องต้นเท่าที่จำเป็นไปบ้างแล้วขั้นตอนต่อไปจะต้องทำการผ่าตัดรักษากระดูกขาที่หัก แม้จะเป็นกรณีที่จะต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว แต่ก็ได้ความว่าวิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาลซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิและโรงพยาบาลเวชธานีต่างก็มีสถานที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครด้วยกัน ใช้ระยะเวลาเดินทางใกล้เคียงกัน การนำส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิหรือโรงพยาบาลเวชธานีจึงไม่น่าจะใช้เวลาแตกต่างกันมากนักทั้งโรงพยาบาลสุขุมวิทได้ทำการรักษาเบื้องต้นเท่าที่จำเป็นให้แก่โจทก์บ้างแล้ว จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าหากนำส่งตัวโจทก์ไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิแล้วการรักษาจะไม่ทันท่วงทีหรืออาจเกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นแก่โจทก์ การที่บิดาโจทก์ส่งตัวโจทก์ไปรักษาที่โรงพยาบาลเวชธานี จึงเป็นเพราะบิดาโจทก์มีความเชื่อถือการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเวชธานีนั่นเอง การที่นำส่งตัวโจทก์ไปรักษาที่โรงพยาบาลเวชธานีซึ่งมิใช่โรงพยาบาลตามสิทธิจึงมิใช่เป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องรับการบริการทางแพทย์จากโรงพยาบาลเวชธานี แต่เป็นความประสงค์ที่จะได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลแห่งนี้ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จำเลยจะต้องจ่ายเงินค่าบริการทางแพทย์ตามประกาศของสำนักงานประกันสังคมจำเลย ข้อ 4.2 ดังกล่าว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยไปถึงว่าโจทก์เข้ารับการบริการทางแพทย์ครั้งแรกที่โรงพยาบาลสุขุมวิทหรือโรงพยาบาลเวชธานีเพราะเมื่อไม่มีเหตุจำเป็นต้องรับการบริการทางแพทย์จากโรงพยาบาลเวชธานีเสียแล้ว จำเลยก็ไม่จำต้องจ่ายค่าบริการทางแพทย์ที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกันตนจ่ายให้แก่โรงพยาบาลเวชธานีไปแล้วคืนให้แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง